Published Apr 20, 2025 ⦁ 2 min read

เข้าใจความแตกต่างระหว่าง ROI และ ROAS เพื่อวัดผลตอบแทนจากการลงทุนและค่าโฆษณาในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

ROI กับ ROAS ต่างกันอย่างไร

ROI กับ ROAS ต่างกันอย่างไร

ROI และ ROAS เป็นตัวชี้วัดสำคัญในธุรกิจที่ช่วยวัดผลตอบแทนจากการลงทุนและค่าโฆษณา:

  • ROI (Return on Investment): วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด เช่น รายได้หักด้วยต้นทุนรวม (สินค้า, โฆษณา, การขนส่ง ฯลฯ)
    สูตร: ((รายได้ - ต้นทุนรวม) / ต้นทุนรวม) × 100
    ตัวอย่าง: หากรายได้ 100,000 บาท และต้นทุนรวม 75,000 บาท ROI เท่ากับ 33.33%
  • ROAS (Return on Ad Spend): วัดผลตอบแทนเฉพาะจากค่าโฆษณา
    สูตร: รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา
    ตัวอย่าง: หากรายได้จากโฆษณา 50,000 บาท และค่าโฆษณา 10,000 บาท ROAS เท่ากับ 5:1

Quick Comparison

ประเด็น ROI ROAS
จุดมุ่งเน้น การลงทุนทั้งหมด ค่าใช้จ่ายโฆษณาโดยตรง
ต้นทุนที่ใช้ รวมต้นทุนสินค้า, ค่าแรง, ฯลฯ เฉพาะค่าโฆษณา
เหมาะสำหรับ วัดผลรวมธุรกิจ ประเมินแคมเปญโฆษณา

สรุป: ใช้ ROI หากต้องการวัดผลตอบแทนโดยรวม และใช้ ROAS หากต้องการวัดผลลัพธ์จากค่าโฆษณาโดยตรง.

How to Calculate ROI vs ROAS🧐

1. ทำความเข้าใจ ROI

ROI หรือ Return on Investment คือการวัดผลตอบแทนที่ธุรกิจได้รับจากการลงทุนทั้งหมด สูตรคำนวณคือ:

ROI = ((รายได้ - ต้นทุนรวม) / ต้นทุนรวม) × 100

ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยต้นทุนรวมอาจประกอบด้วย ค่าโฆษณา ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ตัวอย่างการคำนวณ ROI สำหรับร้านค้าออนไลน์

รายการ จำนวนเงิน
รายได้จากการขาย 100,000
ค่าโฆษณา 20,000
ต้นทุนสินค้า 40,000
ค่าขนส่ง 5,000
ค่าบริหารจัดการ 10,000
ต้นทุนรวม 75,000
ROI 33.33%

การวิเคราะห์ ROI ช่วยให้ธุรกิจประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนและปรับปรุงกลยุทธ์การโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

VenueE Performance Marketing ยังช่วย SME ปรับกลยุทธ์โฆษณาดิจิทัลเพื่อสร้าง ROI ที่สามารถวัดผลได้จริง

ข้อควรพิจารณาในการวิเคราะห์ ROI [1]:

  • กำหนดเป้าหมายชัดเจน: ระบุเป้าหมายทางธุรกิจและการตลาดให้แน่นอน
  • วิเคราะห์ข้อมูล: ตรวจสอบข้อมูลการตลาดเพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม
  • ติดตามผลต่อเนื่อง: ตรวจสอบและปรับปรุงแคมเปญให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้

ในส่วนถัดไป เราจะเจาะลึกถึงวิธีคำนวณและการใช้งาน ROAS อย่างละเอียดมากขึ้น

sbb-itb-4ffe5b5

2. ทำความเข้าใจ ROAS

เมื่อเข้าใจ ROI แล้ว มาดูตัวชี้วัดอีกตัวที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ROAS (Return on Ad Spend) ซึ่งใช้วัดผลตอบแทนจากค่าโฆษณาโดยตรง สูตรคำนวณง่าย ๆ คือ:

ROAS = รายได้จากแคมเปญโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา

ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอัตราส่วน เช่น หาก ROAS เท่ากับ 5 หมายความว่า ทุก 1 บาทที่ใช้ไปกับโฆษณาจะสร้างรายได้กลับมาถึง 5 บาท

ตัวอย่างการคำนวณ ROAS สำหรับแคมเปญโฆษณา Facebook

รายการ จำนวนเงิน (บาท)
รายได้จากแคมเปญ 50,000
ค่าโฆษณา Facebook 10,000
ROAS 5:1

จุดเด่นของ ROAS

ROAS เน้นการวัดรายได้ที่เกิดจากแคมเปญโฆษณาโดยตรง เมื่อเทียบกับค่าโฆษณาที่ลงทุนไป โดยไม่รวมต้นทุนสินค้า/บริการ หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

VenueE Performance Marketing ใช้ ROAS เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญเพื่อปรับแต่งและบริหารแคมเปญโฆษณา ช่วยให้ธุรกิจ SME ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดจากการลงทุนในโฆษณา

เมื่อเข้าใจ ROAS แล้ว ขั้นต่อไปจะนำมาเปรียบเทียบกับ ROI เพื่อช่วยให้เลือกใช้ตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณมากที่สุด

เปรียบเทียบระหว่าง ROI และ ROAS

ประเด็น ROI ROAS
จุดมุ่งเน้น วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด วัดผลตอบแทนจากค่าใช้จ่ายโฆษณา
ต้นทุนที่คำนวณ รวมต้นทุนทั้งหมด เช่น สินค้า ค่าแรง ค่าขนส่ง เฉพาะค่าใช้จ่ายที่ใช้ในโฆษณา

ใช้ ROI หรือ ROAS ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย

เลือก ROI หาก:

  • ต้องการดูผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวม
  • สนใจเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างโครงการหรือช่องทางต่างๆ

เลือก ROAS หาก:

  • ต้องการประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา
  • สนใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายโฆษณาโดยตรง

การเลือกใช้ตัวชี้วัดที่ถูกต้องช่วยให้คุณวางแผนและประเมินผลแคมเปญได้อย่างเหมาะสมกับเป้าหมายที่ตั้งไว้.

สรุป

ใช้ ROAS เพื่อวัดผลแคมเปญในช่วงสั้น และ ROI สำหรับการประเมินผลตอบแทนในระยะยาว ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ติดตามผลด้วยข้อมูลที่แม่นยำ และปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความก้าวหน้าในระยะยาวอย่างมั่นคง

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ