เข้าใจความแตกต่างระหว่าง ROI และ ROAS เพื่อวัดผลตอบแทนจากการลงทุนและค่าโฆษณาในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

ROI กับ ROAS ต่างกันอย่างไร
ROI และ ROAS เป็นตัวชี้วัดสำคัญในธุรกิจที่ช่วยวัดผลตอบแทนจากการลงทุนและค่าโฆษณา:
-
ROI (Return on Investment): วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด เช่น รายได้หักด้วยต้นทุนรวม (สินค้า, โฆษณา, การขนส่ง ฯลฯ)
สูตร:((รายได้ - ต้นทุนรวม) / ต้นทุนรวม) × 100
ตัวอย่าง: หากรายได้ 100,000 บาท และต้นทุนรวม 75,000 บาท ROI เท่ากับ 33.33% -
ROAS (Return on Ad Spend): วัดผลตอบแทนเฉพาะจากค่าโฆษณา
สูตร:รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา
ตัวอย่าง: หากรายได้จากโฆษณา 50,000 บาท และค่าโฆษณา 10,000 บาท ROAS เท่ากับ 5:1
Quick Comparison
ประเด็น | ROI | ROAS |
---|---|---|
จุดมุ่งเน้น | การลงทุนทั้งหมด | ค่าใช้จ่ายโฆษณาโดยตรง |
ต้นทุนที่ใช้ | รวมต้นทุนสินค้า, ค่าแรง, ฯลฯ | เฉพาะค่าโฆษณา |
เหมาะสำหรับ | วัดผลรวมธุรกิจ | ประเมินแคมเปญโฆษณา |
สรุป: ใช้ ROI หากต้องการวัดผลตอบแทนโดยรวม และใช้ ROAS หากต้องการวัดผลลัพธ์จากค่าโฆษณาโดยตรง.
How to Calculate ROI vs ROAS🧐
1. ทำความเข้าใจ ROI
ROI หรือ Return on Investment คือการวัดผลตอบแทนที่ธุรกิจได้รับจากการลงทุนทั้งหมด สูตรคำนวณคือ:
ROI = ((รายได้ - ต้นทุนรวม) / ต้นทุนรวม) × 100
ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยต้นทุนรวมอาจประกอบด้วย ค่าโฆษณา ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ตัวอย่างการคำนวณ ROI สำหรับร้านค้าออนไลน์
รายการ | จำนวนเงิน |
---|---|
รายได้จากการขาย | 100,000 |
ค่าโฆษณา | 20,000 |
ต้นทุนสินค้า | 40,000 |
ค่าขนส่ง | 5,000 |
ค่าบริหารจัดการ | 10,000 |
ต้นทุนรวม | 75,000 |
ROI | 33.33% |
การวิเคราะห์ ROI ช่วยให้ธุรกิจประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนและปรับปรุงกลยุทธ์การโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
VenueE Performance Marketing ยังช่วย SME ปรับกลยุทธ์โฆษณาดิจิทัลเพื่อสร้าง ROI ที่สามารถวัดผลได้จริง
ข้อควรพิจารณาในการวิเคราะห์ ROI [1]:
- กำหนดเป้าหมายชัดเจน: ระบุเป้าหมายทางธุรกิจและการตลาดให้แน่นอน
- วิเคราะห์ข้อมูล: ตรวจสอบข้อมูลการตลาดเพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม
- ติดตามผลต่อเนื่อง: ตรวจสอบและปรับปรุงแคมเปญให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
ในส่วนถัดไป เราจะเจาะลึกถึงวิธีคำนวณและการใช้งาน ROAS อย่างละเอียดมากขึ้น
sbb-itb-4ffe5b5
2. ทำความเข้าใจ ROAS
เมื่อเข้าใจ ROI แล้ว มาดูตัวชี้วัดอีกตัวที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ROAS (Return on Ad Spend) ซึ่งใช้วัดผลตอบแทนจากค่าโฆษณาโดยตรง สูตรคำนวณง่าย ๆ คือ:
ROAS = รายได้จากแคมเปญโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา
ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอัตราส่วน เช่น หาก ROAS เท่ากับ 5 หมายความว่า ทุก 1 บาทที่ใช้ไปกับโฆษณาจะสร้างรายได้กลับมาถึง 5 บาท
ตัวอย่างการคำนวณ ROAS สำหรับแคมเปญโฆษณา Facebook
รายการ | จำนวนเงิน (บาท) |
---|---|
รายได้จากแคมเปญ | 50,000 |
ค่าโฆษณา Facebook | 10,000 |
ROAS | 5:1 |
จุดเด่นของ ROAS
ROAS เน้นการวัดรายได้ที่เกิดจากแคมเปญโฆษณาโดยตรง เมื่อเทียบกับค่าโฆษณาที่ลงทุนไป โดยไม่รวมต้นทุนสินค้า/บริการ หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
VenueE Performance Marketing ใช้ ROAS เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญเพื่อปรับแต่งและบริหารแคมเปญโฆษณา ช่วยให้ธุรกิจ SME ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดจากการลงทุนในโฆษณา
เมื่อเข้าใจ ROAS แล้ว ขั้นต่อไปจะนำมาเปรียบเทียบกับ ROI เพื่อช่วยให้เลือกใช้ตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณมากที่สุด
เปรียบเทียบระหว่าง ROI และ ROAS
ประเด็น | ROI | ROAS |
---|---|---|
จุดมุ่งเน้น | วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด | วัดผลตอบแทนจากค่าใช้จ่ายโฆษณา |
ต้นทุนที่คำนวณ | รวมต้นทุนทั้งหมด เช่น สินค้า ค่าแรง ค่าขนส่ง | เฉพาะค่าใช้จ่ายที่ใช้ในโฆษณา |
ใช้ ROI หรือ ROAS ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย
เลือก ROI หาก:
- ต้องการดูผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวม
- สนใจเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างโครงการหรือช่องทางต่างๆ
เลือก ROAS หาก:
- ต้องการประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา
- สนใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายโฆษณาโดยตรง
การเลือกใช้ตัวชี้วัดที่ถูกต้องช่วยให้คุณวางแผนและประเมินผลแคมเปญได้อย่างเหมาะสมกับเป้าหมายที่ตั้งไว้.
สรุป
ใช้ ROAS เพื่อวัดผลแคมเปญในช่วงสั้น และ ROI สำหรับการประเมินผลตอบแทนในระยะยาว ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ติดตามผลด้วยข้อมูลที่แม่นยำ และปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความก้าวหน้าในระยะยาวอย่างมั่นคง
