Published Apr 4, 2025 ⦁ 4 min read

ROAS คือการวัดผลตอบแทนจากการใช้เงินโฆษณาที่สำคัญสำหรับการประเมินแคมเปญการตลาด.

ROAS คืออะไร และทำไมมันสำคัญในการวัดผลของ Performance Marketing Agency

ROAS คืออะไร และทำไมมันสำคัญในการวัดผลของ Performance Marketing Agency

ROAS (Return on Ad Spend) คือการวัดผลตอบแทนจากการใช้เงินโฆษณา โดยเปรียบเทียบรายได้ที่เกิดขึ้นกับงบประมาณที่ใช้ไป ซึ่งช่วยให้ธุรกิจและเอเจนซี่วิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น หากลงทุน 1,000 บาท และสร้างรายได้ 4,000 บาท ROAS จะเท่ากับ 4:1 หรือทุก 1 บาทที่ใช้ไป คุณจะได้ผลตอบแทนกลับมา 4 บาท

ทำไม ROAS ถึงสำคัญ?

  • ประเมินผลแคมเปญ: รู้ว่าโฆษณาคุ้มค่าหรือไม่
  • จัดสรรงบประมาณ: ตัดสินใจเพิ่มหรือลดงบในช่องทางที่เหมาะสม
  • เปรียบเทียบแพลตฟอร์ม: วิเคราะห์ช่องทางที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด

สูตรคำนวณ ROAS

ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ งบประมาณโฆษณา

ตัวอย่าง:

แพลตฟอร์ม ค่าใช้จ่ายโฆษณา รายได้ที่เกิดขึ้น ROAS
Instagram 2,000 บาท 10,000 บาท 5:1
Google Ads 3,000 บาท 6,000 บาท 2:1

สรุป: ROAS ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณา และปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ROAS คืออะไร? สำคัญกับการทำโฆษณายังไง?

ทำความเข้าใจพื้นฐานของ ROAS

ROAS หรือ Return on Ad Spend เป็นการวัดผลตอบแทนจากการใช้เงินโฆษณา โดยเปรียบเทียบรายได้ที่เกิดขึ้นกับงบประมาณที่ใช้ไป แตกต่างจาก ROI ตรงที่ ROAS เน้นเฉพาะต้นทุนด้านโฆษณาเท่านั้น

สูตรและการคำนวณ ROAS

สูตรพื้นฐานของ ROAS คือ:

ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ งบประมาณโฆษณา

ตัวอย่าง: หากคุณลงทุน 10,000 บาท และสร้างรายได้ 40,000 บาท ROAS จะเท่ากับ 4:1 หรือทุก ๆ 1 บาทที่ใช้ไป คุณจะได้ผลตอบแทนกลับมา 4 บาท หาก ROAS ต่ำกว่า 3:1 อาจแสดงว่าคุณควรปรับกลยุทธ์

สูตรนี้ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของผลตอบแทนจากโฆษณาได้ชัดเจนขึ้น แต่การนำไปใช้ในแคมเปญจริงยังมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม

การใช้งาน ROAS ในธุรกิจ

ROAS เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักการตลาดและเอเจนซี่ เพราะช่วยในหลายด้าน เช่น:

  • ประเมินผลแคมเปญโฆษณา: ตรวจสอบว่าแคมเปญของคุณให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่
  • จัดสรรงบประมาณ: ช่วยตัดสินใจว่าควรเพิ่มหรือลดงบประมาณในช่องทางไหน
  • เปรียบเทียบประสิทธิภาพแพลตฟอร์ม: ใช้ ROAS เพื่อวิเคราะห์และเลือกช่องทางที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด

ROAS ยังถือว่ามีประโยชน์มากกว่า CPA (Cost Per Acquisition) เพราะเน้นที่รายได้ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ การติดตาม ROAS อย่างต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างตรงจุด

การเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้คุณพร้อมสำหรับการคำนวณและปรับปรุง ROAS ในขั้นตอนที่ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งเราจะอธิบายเพิ่มเติมในส่วนถัดไปพร้อมตัวอย่างที่ชัดเจน.

วิธีการคำนวณ ROAS

ขั้นตอนการคำนวณ

การคำนวณ ROAS (Return on Ad Spend) ต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

  1. คำนวณรายได้จากโฆษณา
    ติดตามรายได้ที่มาจากแคมเปญโฆษณา เช่น:
    • ยอดขายที่เกิดจากการคลิกโฆษณา
    • รายได้จากการขายซ้ำหรือลูกค้าประจำ
    • มูลค่าตะกร้าสินค้าเฉลี่ย
  2. ติดตามค่าใช้จ่ายโฆษณา
    รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในแคมเปญ เช่น:
    • งบประมาณที่ใช้กับโฆษณา
    • ค่าธรรมเนียมของแพลตฟอร์มโฆษณา
    • ค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื้อหาโฆษณา
  3. ใช้สูตรคำนวณ ROAS
    นำตัวเลขที่ได้มาคำนวณตามสูตร:
    ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา

การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการคำนวณ ROAS

แพลตฟอร์ม ค่าใช้จ่ายโฆษณา รายได้ที่เกิดขึ้น ROAS
Instagram 2,000 บาท 10,000 บาท 5:1
Google Ads 3,000 บาท 6,000 บาท 2:1

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าแคมเปญบน Instagram ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยทุก 1 บาทที่ลงทุนสามารถสร้างรายได้ถึง 5 บาท.

เพื่อให้การคำนวณแม่นยำยิ่งขึ้น ควรติดตามข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านความเป็นส่วนตัว เช่น iOS 14+ และพิจารณาช่วงเวลาระหว่างการเห็นโฆษณาและการซื้อสินค้า การเข้าใจและคำนวณ ROAS อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณปรับปรุงแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

ROAS ในแต่ละอุตสาหกรรม

หลังจากที่คุณเข้าใจวิธีคำนวณ ROAS แล้ว เรามาดูค่าเฉลี่ยและปัจจัยที่มีผลต่อ ROAS ในอุตสาหกรรมต่างๆ กัน

ค่า ROAS เฉลี่ยในอุตสาหกรรมต่างๆ

ROAS มีความแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีค่า ROAS เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.87 หรือผลตอบแทน 287%.

ตารางค่า ROAS เฉลี่ยในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ

หมวดหมู่สินค้า ค่า ROAS เฉลี่ย
สินค้าสำหรับเด็ก 3.71:1
สุขภาพและความงาม 2.82:1
ธุรกิจโรงแรม 10:1 - 12:1

นอกจากนี้ ค่า ROAS ยังแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มโฆษณาที่ใช้:

แพลตฟอร์ม ROAS เฉลี่ย
Google Ads 13.76:1
Facebook Ads 10.68:1
Instagram Ads 8.83:1
Amazon Ads 7.95:1
Twitter Ads 2.7:1
Pinterest Ads 2.7:1
TikTok Ads 2.5:1

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ROAS

หลายปัจจัยสามารถส่งผลต่อ ROAS ได้อย่างชัดเจน:

  • ประเภทสินค้าและบริการ
    • สินค้าที่มีราคาสูงมักสร้าง ROAS ได้ดีกว่า เพราะมีกำไรต่อการขายที่สูง
    • สินค้าที่ลูกค้าซื้อซ้ำบ่อยช่วยเพิ่มมูลค่าตลอดอายุของลูกค้า (Customer Lifetime Value)
  • ระดับการแข่งขันในตลาด
    • ตลาดที่มีการแข่งขันสูงมักทำให้ต้นทุนโฆษณาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROAS ลดลง
    • ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่มีคู่แข่งน้อยมักจะมี ROAS ที่ดีกว่า

สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ค่า ROAS อาจแตกต่างไปตามประเภทสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย. ส่วนธุรกิจโรงแรมควรตั้งเป้าหมาย ROAS ที่ 10:1–12:1 และควรให้เวลา 2-3 เดือนในการปรับปรุงแคมเปญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.

sbb-itb-4ffe5b5

การปรับปรุง ROAS ให้ดียิ่งขึ้น

การเลือกกลุ่มเป้าหมาย

ใช้ Meta Ads Manager เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและตรงจุด:

ประเภทข้อมูล รายละเอียด ผลต่อ ROAS
ข้อมูลประชากร อายุ, เพศ, ที่อยู่ ลดการแสดงโฆษณาที่ไม่ตรงกลุ่ม
พฤติกรรม การใช้งานออนไลน์, การซื้อ เน้นผู้ที่มีโอกาสซื้อสูง
ความสนใจ งานอดิเรก, กิจกรรม กระตุ้นการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมาย

หลังจากกำหนดกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงสุด

การเลือกแพลตฟอร์ม

เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และปรับเนื้อหาให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม:

  • มุ่งเน้นแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายใช้เวลามากที่สุด
  • ปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น รูปแบบโพสต์หรือโฆษณา
  • เริ่มต้นจาก 2-3 แพลตฟอร์ม ทดสอบผลลัพธ์ก่อนเพิ่มการลงทุนในแพลตฟอร์มที่ให้ผลตอบรับดีที่สุด

นอกจากการเลือกแพลตฟอร์มแล้ว การออกแบบโฆษณาก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ROAS ได้อย่างเห็นผล

ผลกระทบของการออกแบบโฆษณา

การออกแบบโฆษณาที่ดีช่วยเพิ่ม ROAS ได้อย่างชัดเจน:

  • ภาพและวิดีโอ: ใช้สื่อที่สะดุดตาและแสดงคุณค่าของสินค้าได้ชัดเจน
  • ข้อความโฆษณา: เขียนข้อความที่เน้นประโยชน์ของสินค้าและกระตุ้นการตัดสินใจ
  • Call-to-Action: ใช้ปุ่มกระตุ้นที่ชัดเจน เช่น "ซื้อเลย" หรือ "ดูเพิ่มเติม" เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป

การบริหารแคมเปญ

การบริหารแคมเปญอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่ม ROAS:

  • ติดตามผลลัพธ์: ตรวจสอบประสิทธิภาพของแคมเปญทุกวัน เพื่อปรับแก้ไขปัญหาได้ทันที
  • ทดสอบและปรับปรุง: ใช้ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบและค้นหาสิ่งที่ทำงานได้ดีที่สุด
  • วิเคราะห์ข้อมูล: ใช้ข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อปรับเป้าหมายและปรับเนื้อหาโฆษณาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ความเข้าใจผิดและข้อจำกัดของ ROAS

ถึงแม้ ROAS จะช่วยให้เรามองเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนในภาพรวม แต่ก็มีข้อจำกัดและความเข้าใจผิดที่ควรระวัง

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ROAS ที่พบบ่อย

ความเข้าใจผิด ความเป็นจริง ผลกระทบ
ROAS สูง = แคมเปญประสบความสำเร็จ ROAS แสดงเพียงมุมมองหนึ่งของประสิทธิภาพ อาจมองข้ามโอกาสในการพัฒนาในระยะยาว
การเพิ่ม ROAS เป็นเป้าหมายเดียว ควรพิจารณาตัวชี้วัดอื่นร่วมด้วย อาจเสียโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่
ROAS แสดงผลลัพธ์ทันที ต้องให้เวลาเพื่อการเรียนรู้และปรับปรุง อาจตัดสินใจเร็วเกินไปและผิดพลาด

"แม้ว่า ROAS จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความสำเร็จของแคมเปญทั้งหมด" - Tina Markowitz, VP, Global Strategy, Cendyn

จากความเข้าใจผิดเหล่านี้ เราจำเป็นต้องตระหนักถึงข้อจำกัดเพิ่มเติมของ ROAS เพื่อการประเมินผลที่รอบด้านยิ่งขึ้น

ข้อจำกัดของ ROAS

ROAS มีข้อจำกัดหลายอย่างที่นักการตลาดต้องคำนึงถึง:

1. การวัดผลที่ไม่ครอบคลุม

การวัด ROAS ในปัจจุบันเผชิญกับอุปสรรค เช่น:

  • การลดลงของข้อมูลคุกกี้
  • การบล็อกโฆษณา
  • การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดของผู้ใช้

2. มุมมองที่เน้นระยะสั้น

ROAS มักจะโฟกัสกับผลลัพธ์ในช่วงสั้นๆ แต่การพิจารณาในมิติอื่น เช่น:

  • มูลค่าตลอดอายุของลูกค้า
  • ค่าใช้จ่ายในการได้มาของลูกค้า
  • รายได้รวมจากช่องทางต่างๆ

สามารถให้มุมมองที่ครบถ้วนกว่า

3. ความซับซ้อนในการวัดผล

ในแคมเปญที่ใช้หลายช่องทาง การตั้งเป้า ROAS ระหว่าง 10:1 ถึง 12:1 ถือว่าเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การวัดผลต้องใช้เครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพรวม เช่น:

  • การติดตามเส้นทางลูกค้า
  • การเชื่อมโยงระบบ CRM เข้ากับการวัดผลการตลาด
  • การวิเคราะห์รายได้จากกลยุทธ์ใหม่

เครื่องมือวัดผล ROAS

การวัดผล ROAS อย่างแม่นยำจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องมือยอดนิยมสำหรับวัดผล ROAS

มีเครื่องมือหลายประเภทที่ช่วยติดตามและวิเคราะห์ ROAS ได้อย่างดี:

เครื่องมือ ฟีเจอร์หลัก ประโยชน์
Google Ads ติดตาม ROAS ระดับแคมเปญ, ระบบ Smart Bidding, คอลัมน์ "Conv. Value / Cost" ช่วยปรับการประมูลอัตโนมัติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย
Meta Ads Manager รายงานผลตอบแทนการลงทุน, การติดตาม Conversion, การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ใช้ติดตามแคมเปญบน Facebook และ Instagram ได้อย่างละเอียด
Google Analytics ติดตามธุรกรรม, รายงาน Multi-channel, วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ แสดงภาพรวมของเส้นทางการซื้อทั้งหมดและช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า

เคล็ดลับการใช้งาน Google Ads:

  • เพิ่มคอลัมน์ "Conv. Value / Cost" เพื่อดูข้อมูล ROAS ได้ชัดเจนขึ้น
  • ตั้งค่า Target ROAS ในช่วง 30-90 วัน เพื่อให้ระบบปรับตัวตามเป้าหมาย
  • ทดลองใช้ระบบประมูลอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากเครื่องมือเหล่านี้ VenueE ยังพัฒนาระบบที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและความโปร่งใสในการวัดผล ROAS ได้อย่างครอบคลุม

ระบบวัดผล ROAS ของ VenueE

VenueE ได้พัฒนาระบบเฉพาะที่ช่วยยกระดับการวัดผล ROAS ให้มีความแม่นยำและโปร่งใสมากขึ้น โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้:

  1. การรายงานผลแบบเรียลไทม์

ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ตลอดเวลา ผ่านระบบที่แสดง:

  • ยอดการใช้งบประมาณและรายได้ในปัจจุบัน
  • ROAS แบบเรียลไทม์เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว
  1. ความโปร่งใสในการแสดงผล

ระบบของ VenueE ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย โดยนำเสนอ:

  • ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นและการวิเคราะห์แคมเปญ
  • รายงานผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเข้าใจได้ในทันที

ด้วยเครื่องมือและระบบที่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ คุณจะสามารถปรับปรุงและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญของคุณได้อย่างมั่นใจ!

สรุป

ROAS หรือผลตอบแทนจากการลงทุนโฆษณา เป็นตัวชี้วัดสำคัญในยุคที่การแข่งขันในตลาดดิจิทัลสูงขึ้น การวัด ROAS อย่างแม่นยำช่วยให้ธุรกิจสามารถ:

  • วางแผนการใช้จ่ายงบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ปรับปรุงแคมเปญให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  • ประเมินความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาด

เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น ระบบของ VenueE ช่วยให้การวัด ROAS ง่ายและตรงเป้าหมายมากขึ้น

ด้วยประสบการณ์จัดการงบโฆษณากว่า 60 ล้านบาท ระบบ VenueE ช่วยติดตามและปรับปรุง ROAS แบบเรียลไทม์ พร้อมความโปร่งใสสูง สำหรับ SME เป้าหมาย ROAS ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 4:1 ถึง 5:1 แต่ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามขนาดธุรกิจและอัตรากำไรขั้นต้น

ROAS ยังให้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่าต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า โดยช่วยให้นักการตลาดปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตและผลกำไร ระบบรายงานผลของ VenueE ถูกออกแบบมาให้เข้าใจง่าย ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและปรับ ROAS ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงในยุคดิจิทัล

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ