ROAS คือการวัดผลตอบแทนจากการใช้เงินโฆษณาที่สำคัญสำหรับการประเมินแคมเปญการตลาด.

ROAS คืออะไร และทำไมมันสำคัญในการวัดผลของ Performance Marketing Agency
ROAS (Return on Ad Spend) คือการวัดผลตอบแทนจากการใช้เงินโฆษณา โดยเปรียบเทียบรายได้ที่เกิดขึ้นกับงบประมาณที่ใช้ไป ซึ่งช่วยให้ธุรกิจและเอเจนซี่วิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น หากลงทุน 1,000 บาท และสร้างรายได้ 4,000 บาท ROAS จะเท่ากับ 4:1 หรือทุก 1 บาทที่ใช้ไป คุณจะได้ผลตอบแทนกลับมา 4 บาท
ทำไม ROAS ถึงสำคัญ?
- ประเมินผลแคมเปญ: รู้ว่าโฆษณาคุ้มค่าหรือไม่
- จัดสรรงบประมาณ: ตัดสินใจเพิ่มหรือลดงบในช่องทางที่เหมาะสม
- เปรียบเทียบแพลตฟอร์ม: วิเคราะห์ช่องทางที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
สูตรคำนวณ ROAS
ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ งบประมาณโฆษณา
ตัวอย่าง:
แพลตฟอร์ม | ค่าใช้จ่ายโฆษณา | รายได้ที่เกิดขึ้น | ROAS |
---|---|---|---|
2,000 บาท | 10,000 บาท | 5:1 | |
Google Ads | 3,000 บาท | 6,000 บาท | 2:1 |
สรุป: ROAS ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณา และปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ROAS คืออะไร? สำคัญกับการทำโฆษณายังไง?
ทำความเข้าใจพื้นฐานของ ROAS
ROAS หรือ Return on Ad Spend เป็นการวัดผลตอบแทนจากการใช้เงินโฆษณา โดยเปรียบเทียบรายได้ที่เกิดขึ้นกับงบประมาณที่ใช้ไป แตกต่างจาก ROI ตรงที่ ROAS เน้นเฉพาะต้นทุนด้านโฆษณาเท่านั้น
สูตรและการคำนวณ ROAS
สูตรพื้นฐานของ ROAS คือ:
ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ งบประมาณโฆษณา
ตัวอย่าง: หากคุณลงทุน 10,000 บาท และสร้างรายได้ 40,000 บาท ROAS จะเท่ากับ 4:1 หรือทุก ๆ 1 บาทที่ใช้ไป คุณจะได้ผลตอบแทนกลับมา 4 บาท หาก ROAS ต่ำกว่า 3:1 อาจแสดงว่าคุณควรปรับกลยุทธ์
สูตรนี้ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของผลตอบแทนจากโฆษณาได้ชัดเจนขึ้น แต่การนำไปใช้ในแคมเปญจริงยังมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
การใช้งาน ROAS ในธุรกิจ
ROAS เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักการตลาดและเอเจนซี่ เพราะช่วยในหลายด้าน เช่น:
- ประเมินผลแคมเปญโฆษณา: ตรวจสอบว่าแคมเปญของคุณให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่
- จัดสรรงบประมาณ: ช่วยตัดสินใจว่าควรเพิ่มหรือลดงบประมาณในช่องทางไหน
- เปรียบเทียบประสิทธิภาพแพลตฟอร์ม: ใช้ ROAS เพื่อวิเคราะห์และเลือกช่องทางที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
ROAS ยังถือว่ามีประโยชน์มากกว่า CPA (Cost Per Acquisition) เพราะเน้นที่รายได้ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ การติดตาม ROAS อย่างต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างตรงจุด
การเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้คุณพร้อมสำหรับการคำนวณและปรับปรุง ROAS ในขั้นตอนที่ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งเราจะอธิบายเพิ่มเติมในส่วนถัดไปพร้อมตัวอย่างที่ชัดเจน.
วิธีการคำนวณ ROAS
ขั้นตอนการคำนวณ
การคำนวณ ROAS (Return on Ad Spend) ต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:
-
คำนวณรายได้จากโฆษณา
ติดตามรายได้ที่มาจากแคมเปญโฆษณา เช่น:- ยอดขายที่เกิดจากการคลิกโฆษณา
- รายได้จากการขายซ้ำหรือลูกค้าประจำ
- มูลค่าตะกร้าสินค้าเฉลี่ย
-
ติดตามค่าใช้จ่ายโฆษณา
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในแคมเปญ เช่น:- งบประมาณที่ใช้กับโฆษณา
- ค่าธรรมเนียมของแพลตฟอร์มโฆษณา
- ค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื้อหาโฆษณา
-
ใช้สูตรคำนวณ ROAS
นำตัวเลขที่ได้มาคำนวณตามสูตร:
ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา
การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการคำนวณ ROAS
แพลตฟอร์ม | ค่าใช้จ่ายโฆษณา | รายได้ที่เกิดขึ้น | ROAS |
---|---|---|---|
2,000 บาท | 10,000 บาท | 5:1 | |
Google Ads | 3,000 บาท | 6,000 บาท | 2:1 |
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าแคมเปญบน Instagram ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยทุก 1 บาทที่ลงทุนสามารถสร้างรายได้ถึง 5 บาท.
เพื่อให้การคำนวณแม่นยำยิ่งขึ้น ควรติดตามข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านความเป็นส่วนตัว เช่น iOS 14+ และพิจารณาช่วงเวลาระหว่างการเห็นโฆษณาและการซื้อสินค้า การเข้าใจและคำนวณ ROAS อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณปรับปรุงแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ROAS ในแต่ละอุตสาหกรรม
หลังจากที่คุณเข้าใจวิธีคำนวณ ROAS แล้ว เรามาดูค่าเฉลี่ยและปัจจัยที่มีผลต่อ ROAS ในอุตสาหกรรมต่างๆ กัน
ค่า ROAS เฉลี่ยในอุตสาหกรรมต่างๆ
ROAS มีความแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีค่า ROAS เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.87 หรือผลตอบแทน 287%.
ตารางค่า ROAS เฉลี่ยในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ
หมวดหมู่สินค้า | ค่า ROAS เฉลี่ย |
---|---|
สินค้าสำหรับเด็ก | 3.71:1 |
สุขภาพและความงาม | 2.82:1 |
ธุรกิจโรงแรม | 10:1 - 12:1 |
นอกจากนี้ ค่า ROAS ยังแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มโฆษณาที่ใช้:
แพลตฟอร์ม | ROAS เฉลี่ย |
---|---|
Google Ads | 13.76:1 |
Facebook Ads | 10.68:1 |
Instagram Ads | 8.83:1 |
Amazon Ads | 7.95:1 |
Twitter Ads | 2.7:1 |
Pinterest Ads | 2.7:1 |
TikTok Ads | 2.5:1 |
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ROAS
หลายปัจจัยสามารถส่งผลต่อ ROAS ได้อย่างชัดเจน:
-
ประเภทสินค้าและบริการ
- สินค้าที่มีราคาสูงมักสร้าง ROAS ได้ดีกว่า เพราะมีกำไรต่อการขายที่สูง
- สินค้าที่ลูกค้าซื้อซ้ำบ่อยช่วยเพิ่มมูลค่าตลอดอายุของลูกค้า (Customer Lifetime Value)
-
ระดับการแข่งขันในตลาด
- ตลาดที่มีการแข่งขันสูงมักทำให้ต้นทุนโฆษณาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROAS ลดลง
- ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่มีคู่แข่งน้อยมักจะมี ROAS ที่ดีกว่า
สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ค่า ROAS อาจแตกต่างไปตามประเภทสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย. ส่วนธุรกิจโรงแรมควรตั้งเป้าหมาย ROAS ที่ 10:1–12:1 และควรให้เวลา 2-3 เดือนในการปรับปรุงแคมเปญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.
sbb-itb-4ffe5b5
การปรับปรุง ROAS ให้ดียิ่งขึ้น
การเลือกกลุ่มเป้าหมาย
ใช้ Meta Ads Manager เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและตรงจุด:
ประเภทข้อมูล | รายละเอียด | ผลต่อ ROAS |
---|---|---|
ข้อมูลประชากร | อายุ, เพศ, ที่อยู่ | ลดการแสดงโฆษณาที่ไม่ตรงกลุ่ม |
พฤติกรรม | การใช้งานออนไลน์, การซื้อ | เน้นผู้ที่มีโอกาสซื้อสูง |
ความสนใจ | งานอดิเรก, กิจกรรม | กระตุ้นการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมาย |
หลังจากกำหนดกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงสุด
การเลือกแพลตฟอร์ม
เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และปรับเนื้อหาให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม:
- มุ่งเน้นแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายใช้เวลามากที่สุด
- ปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น รูปแบบโพสต์หรือโฆษณา
- เริ่มต้นจาก 2-3 แพลตฟอร์ม ทดสอบผลลัพธ์ก่อนเพิ่มการลงทุนในแพลตฟอร์มที่ให้ผลตอบรับดีที่สุด
นอกจากการเลือกแพลตฟอร์มแล้ว การออกแบบโฆษณาก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ROAS ได้อย่างเห็นผล
ผลกระทบของการออกแบบโฆษณา
การออกแบบโฆษณาที่ดีช่วยเพิ่ม ROAS ได้อย่างชัดเจน:
- ภาพและวิดีโอ: ใช้สื่อที่สะดุดตาและแสดงคุณค่าของสินค้าได้ชัดเจน
- ข้อความโฆษณา: เขียนข้อความที่เน้นประโยชน์ของสินค้าและกระตุ้นการตัดสินใจ
- Call-to-Action: ใช้ปุ่มกระตุ้นที่ชัดเจน เช่น "ซื้อเลย" หรือ "ดูเพิ่มเติม" เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป
การบริหารแคมเปญ
การบริหารแคมเปญอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่ม ROAS:
- ติดตามผลลัพธ์: ตรวจสอบประสิทธิภาพของแคมเปญทุกวัน เพื่อปรับแก้ไขปัญหาได้ทันที
- ทดสอบและปรับปรุง: ใช้ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบและค้นหาสิ่งที่ทำงานได้ดีที่สุด
- วิเคราะห์ข้อมูล: ใช้ข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อปรับเป้าหมายและปรับเนื้อหาโฆษณาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ความเข้าใจผิดและข้อจำกัดของ ROAS
ถึงแม้ ROAS จะช่วยให้เรามองเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนในภาพรวม แต่ก็มีข้อจำกัดและความเข้าใจผิดที่ควรระวัง
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ROAS ที่พบบ่อย
ความเข้าใจผิด | ความเป็นจริง | ผลกระทบ |
---|---|---|
ROAS สูง = แคมเปญประสบความสำเร็จ | ROAS แสดงเพียงมุมมองหนึ่งของประสิทธิภาพ | อาจมองข้ามโอกาสในการพัฒนาในระยะยาว |
การเพิ่ม ROAS เป็นเป้าหมายเดียว | ควรพิจารณาตัวชี้วัดอื่นร่วมด้วย | อาจเสียโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ |
ROAS แสดงผลลัพธ์ทันที | ต้องให้เวลาเพื่อการเรียนรู้และปรับปรุง | อาจตัดสินใจเร็วเกินไปและผิดพลาด |
"แม้ว่า ROAS จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความสำเร็จของแคมเปญทั้งหมด" - Tina Markowitz, VP, Global Strategy, Cendyn
จากความเข้าใจผิดเหล่านี้ เราจำเป็นต้องตระหนักถึงข้อจำกัดเพิ่มเติมของ ROAS เพื่อการประเมินผลที่รอบด้านยิ่งขึ้น
ข้อจำกัดของ ROAS
ROAS มีข้อจำกัดหลายอย่างที่นักการตลาดต้องคำนึงถึง:
1. การวัดผลที่ไม่ครอบคลุม
การวัด ROAS ในปัจจุบันเผชิญกับอุปสรรค เช่น:
- การลดลงของข้อมูลคุกกี้
- การบล็อกโฆษณา
- การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดของผู้ใช้
2. มุมมองที่เน้นระยะสั้น
ROAS มักจะโฟกัสกับผลลัพธ์ในช่วงสั้นๆ แต่การพิจารณาในมิติอื่น เช่น:
- มูลค่าตลอดอายุของลูกค้า
- ค่าใช้จ่ายในการได้มาของลูกค้า
- รายได้รวมจากช่องทางต่างๆ
สามารถให้มุมมองที่ครบถ้วนกว่า
3. ความซับซ้อนในการวัดผล
ในแคมเปญที่ใช้หลายช่องทาง การตั้งเป้า ROAS ระหว่าง 10:1 ถึง 12:1 ถือว่าเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การวัดผลต้องใช้เครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพรวม เช่น:
- การติดตามเส้นทางลูกค้า
- การเชื่อมโยงระบบ CRM เข้ากับการวัดผลการตลาด
- การวิเคราะห์รายได้จากกลยุทธ์ใหม่
เครื่องมือวัดผล ROAS
การวัดผล ROAS อย่างแม่นยำจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือยอดนิยมสำหรับวัดผล ROAS
มีเครื่องมือหลายประเภทที่ช่วยติดตามและวิเคราะห์ ROAS ได้อย่างดี:
เครื่องมือ | ฟีเจอร์หลัก | ประโยชน์ |
---|---|---|
Google Ads | ติดตาม ROAS ระดับแคมเปญ, ระบบ Smart Bidding, คอลัมน์ "Conv. Value / Cost" | ช่วยปรับการประมูลอัตโนมัติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย |
Meta Ads Manager | รายงานผลตอบแทนการลงทุน, การติดตาม Conversion, การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย | ใช้ติดตามแคมเปญบน Facebook และ Instagram ได้อย่างละเอียด |
Google Analytics | ติดตามธุรกรรม, รายงาน Multi-channel, วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ | แสดงภาพรวมของเส้นทางการซื้อทั้งหมดและช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า |
เคล็ดลับการใช้งาน Google Ads:
- เพิ่มคอลัมน์ "Conv. Value / Cost" เพื่อดูข้อมูล ROAS ได้ชัดเจนขึ้น
- ตั้งค่า Target ROAS ในช่วง 30-90 วัน เพื่อให้ระบบปรับตัวตามเป้าหมาย
- ทดลองใช้ระบบประมูลอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากเครื่องมือเหล่านี้ VenueE ยังพัฒนาระบบที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและความโปร่งใสในการวัดผล ROAS ได้อย่างครอบคลุม
ระบบวัดผล ROAS ของ VenueE
VenueE ได้พัฒนาระบบเฉพาะที่ช่วยยกระดับการวัดผล ROAS ให้มีความแม่นยำและโปร่งใสมากขึ้น โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้:
- การรายงานผลแบบเรียลไทม์
ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ตลอดเวลา ผ่านระบบที่แสดง:
- ยอดการใช้งบประมาณและรายได้ในปัจจุบัน
- ROAS แบบเรียลไทม์เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว
- ความโปร่งใสในการแสดงผล
ระบบของ VenueE ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย โดยนำเสนอ:
- ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นและการวิเคราะห์แคมเปญ
- รายงานผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเข้าใจได้ในทันที
ด้วยเครื่องมือและระบบที่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ คุณจะสามารถปรับปรุงและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญของคุณได้อย่างมั่นใจ!
สรุป
ROAS หรือผลตอบแทนจากการลงทุนโฆษณา เป็นตัวชี้วัดสำคัญในยุคที่การแข่งขันในตลาดดิจิทัลสูงขึ้น การวัด ROAS อย่างแม่นยำช่วยให้ธุรกิจสามารถ:
- วางแผนการใช้จ่ายงบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปรับปรุงแคมเปญให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- ประเมินความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาด
เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น ระบบของ VenueE ช่วยให้การวัด ROAS ง่ายและตรงเป้าหมายมากขึ้น
ด้วยประสบการณ์จัดการงบโฆษณากว่า 60 ล้านบาท ระบบ VenueE ช่วยติดตามและปรับปรุง ROAS แบบเรียลไทม์ พร้อมความโปร่งใสสูง สำหรับ SME เป้าหมาย ROAS ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 4:1 ถึง 5:1 แต่ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามขนาดธุรกิจและอัตรากำไรขั้นต้น
ROAS ยังให้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่าต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า โดยช่วยให้นักการตลาดปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตและผลกำไร ระบบรายงานผลของ VenueE ถูกออกแบบมาให้เข้าใจง่าย ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและปรับ ROAS ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงในยุคดิจิทัล
