เรียนรู้เกี่ยวกับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ROAS ที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจไทย และวิธีการปรับใช้ที่ถูกต้อง.

ROAS Buster: ทลายความเชื่อผิดๆ 7 ประการเกี่ยวกับ ROAS ที่ทำให้ธุรกิจไทยพลาดโอกาสเติบโต
ROAS (Return on Ad Spend) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยวัดผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณา แต่หลายธุรกิจในไทยยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ROAS ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสในการเติบโต บทความนี้จะสรุป 7 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ ROAS และวิธีแก้ไข:
- ROAS ไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวที่สำคัญ: ต้องพิจารณาควบคู่กับตัวชี้วัดอื่น เช่น CLV (Customer Lifetime Value) และ CPA (Cost Per Acquisition)
- ROAS สูง ≠ กำไรสูง: ROAS บอกแค่รายได้ ไม่ได้รวมต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายอื่น
- ROAS ไม่เหมาะเป็นตัวชี้วัดเดี่ยว: ควรวัดผลร่วมกับตัวชี้วัดในทุกขั้นของ funnel
- เป้าหมาย ROAS ควรต่างกันในแต่ละแคมเปญ: เช่น แคมเปญสร้างการรับรู้ควรตั้ง ROAS ต่ำกว่าแคมเปญปิดการขาย
- ROAS ไม่คงที่: ปรับเปลี่ยนตามฤดูกาลและการเรียนรู้ของแคมเปญ
- งบโฆษณาสูง ≠ ROAS ดีขึ้นเสมอ: การเพิ่มงบอาจลดประสิทธิภาพหากไม่บริหารจัดการอย่างเหมาะสม
- ROAS ใช้ได้กับทุกธุรกิจ ไม่ใช่แค่ร้านค้าออนไลน์: ธุรกิจบริการและ B2B ก็ใช้ ROAS ได้
ตารางเปรียบเทียบ ROAS Myths vs. Facts
ความเชื่อผิด | ความจริง |
---|---|
ROAS เป็นตัวชี้วัดเดียวที่สำคัญ | ควรใช้ร่วมกับ CLV, CPA ฯลฯ |
ROAS สูง = กำไรสูง | ต้องพิจารณาต้นทุนทั้งหมด |
ROAS ใช้เป็นตัวชี้วัดเดี่ยว | ต้องวัดผลในทุกขั้นของ funnel |
เป้าหมาย ROAS เดียวกันทุกแคมเปญ | ควรปรับเป้าให้เหมาะกับบทบาทแคมเปญ |
ROAS คงที่ตลอดเวลา | เปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยต่างๆ |
งบสูงขึ้น = ROAS ดีขึ้น | อาจลดลงหากไม่มีการจัดการที่ดี |
ROAS ใช้ได้แค่ร้านค้าออนไลน์ | ใช้ได้กับทุกธุรกิจที่ทำโฆษณาดิจิทัล |
สรุป: การเข้าใจและใช้ ROAS อย่างถูกต้องช่วยให้ธุรกิจจัดการงบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่พลาดโอกาสเติบโตในระยะยาว
ROAS คืออะไร? สำคัญกับการทำโฆษณายังไง?
1. ความเชื่อผิด: ROAS คือตัวชี้วัดความสำเร็จเพียงตัวเดียวที่ต้องใช้
การมุ่งเน้นที่ ROAS เพียงอย่างเดียวอาจทำให้ธุรกิจพลาดโอกาสสำคัญในทุกขั้นตอนของการทำงานผ่าน funnel
"แม้ว่า ROAS จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากร แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความสำเร็จโดยรวมของแคมเปญ" – Cendyn
การให้ความสำคัญกับ ROAS มากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหา เช่น:
- การมุ่งเน้นเฉพาะกลยุทธ์ที่ปลาย funnel มากเกินไป
- การมองข้ามโอกาสสร้างรายได้ในระยะยาว
- การละเลยตัวชี้วัดอื่นที่มีความสำคัญต่อการประเมินภาพรวมของการตลาด
ตัวชี้วัดอื่นที่ควรพิจารณา
- CLV (Customer Lifetime Value) – มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า
- CPA (Cost Per Acquisition) – ต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า
- ROAP (Return on Ad Spend Profit) – กำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย
- Engagement Rate – ตัวชี้วัดการตอบสนองของผู้บริโภคต่อแคมเปญ
แนวทางในการปรับใช้
- วางแผนการวัดผลที่ครอบคลุมทุกช่องทางการตลาด เพื่อให้เห็นภาพรวมของรายได้
- ให้เวลาแคมเปญอย่างน้อย 2–3 เดือนสำหรับการปรับปรุงและเรียนรู้
- ตั้งเป้าหมาย ROAS ที่อยู่ในช่วง 10:1 ถึง 12:1 สำหรับการตลาดที่ครอบคลุมทุกขั้นของ funnel
ต่อไปเราจะมาดูความเชื่อผิดข้อถัดไปกัน!
2. ความเชื่อผิด: ROAS สูง = กำไรสุทธิสูง
หลายคนอาจคิดว่า ROAS (Return on Ad Spend) สูงหมายถึงกำไรสุทธิที่สูงตามไปด้วย แต่จริงๆ แล้ว ROAS แค่บอกถึงรายได้ที่ได้จากการใช้จ่ายโฆษณาเท่านั้น ในขณะที่กำไรสุทธิจะต้องนำต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ มาหักออกก่อน จึงจะสะท้อนถึงผลกำไรที่แท้จริงของธุรกิจได้
ROAS กับกำไรสุทธิ: ไม่เหมือนกัน
ลองนึกถึงตัวอย่างแคมเปญโฆษณาสองรายการที่มี ROAS เท่ากัน แต่ต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือกำไรสุทธิของทั้งสองแคมเปญอาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.
วิธีวัดผลที่แม่นยำกว่า
การใช้ ROAS อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คุณควรพิจารณาตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น เช่น:
- CPA (Cost Per Acquisition): ช่วยให้คุณรู้ต้นทุนที่ใช้เพื่อได้ลูกค้าใหม่แต่ละราย.
- LTV (Lifetime Value): วัดมูลค่าลูกค้าในระยะยาว เพื่อดูว่าลูกค้าที่ได้มาสร้างรายได้ต่อเนื่องแค่ไหน.
- ROI (Return on Investment): คำนวณจาก (รายได้ – ค่าโฆษณา) ÷ ค่าโฆษณา เพื่อวัดผลตอบแทนจริง.
การตัดสินใจด้านการตลาดที่ดีควรดูทั้ง ROAS และตัวชี้วัดอื่นๆ ควบคู่กัน เพื่อให้แคมเปญของคุณไม่เพียงแค่ใช้เงินอย่างคุ้มค่า แต่ยังสร้างกำไรที่แท้จริงให้ธุรกิจได้
ในหัวข้อถัดไป เราจะพูดถึงความเชื่อผิดข้อที่ 3 และวิธีปรับสมดุล ROAS ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด!
3. ความเชื่อผิด: ROAS ใช้เป็นตัวชี้วัดเดี่ยวได้ดีที่สุด
ROAS ไม่สามารถแสดงภาพรวมของแคมเปญที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของ funnel ได้อย่างครบถ้วน ทำให้บางครั้งละเลยการวิเคราะห์ในช่วงต้นทางและกลางทางของลูกค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดสรรงบโฆษณาที่ไม่สมดุล ปัญหานี้พบได้บ่อยในธุรกิจไทยที่มุ่งเป้าไปที่ Conversion เพียงอย่างเดียว จนมองข้ามการสร้างแบรนด์ในระยะยาว
"แม้ว่า ROAS จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากร แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความสำเร็จโดยรวมของแคมเปญ" – Cendyn
การวัดผลที่ครอบคลุมมากขึ้น
การวัดผลที่มีประสิทธิภาพควรผสาน ROAS เข้ากับตัวชี้วัดอื่น เช่น CPA (Cost Per Acquisition) และ LTV (Lifetime Value) เพื่อให้ครอบคลุมตั้งแต่ช่วง Awareness ไปจนถึง Conversion โดยมีแนวทางดังนี้:
- ใช้ CPA และ LTV เพื่อวัดต้นทุนต่อการได้ลูกค้าและค่าตอบแทนในระยะยาว
- วางแผนกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของ funnel ตั้งแต่ Awareness, Consideration ไปจนถึง Conversion
ในแคมเปญที่ออกแบบให้ครอบคลุมทุกขั้นตอน ควรตั้งเป้า ROAS ที่ประมาณ 10:1–12:1 และใช้เครื่องมืออย่าง CRM ควบคู่กับการติดตามข้อมูลดิจิทัล เพื่อเข้าใจเส้นทางของลูกค้า (Customer Journey) ได้อย่างละเอียดและครบถ้วน
4. ความเชื่อผิด: แคมเปญทุกประเภทต้องใช้เป้าหมาย ROAS เดียวกัน
เป้าหมาย ROAS ของแต่ละแคมเปญควรสอดคล้องกับบทบาทของมันใน funnel การตลาด แคมเปญแต่ละประเภทมีหน้าที่ต่างกัน ดังนั้นการตั้งเป้าหมาย ROAS ควรสะท้อนถึงบทบาทเหล่านั้น:
- แคมเปญสร้างการรับรู้: มักมี ROAS ต่ำกว่า เนื่องจากเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
- แคมเปญกระตุ้นการพิจารณา: อาจตั้งเป้าหมาย ROAS ในระดับปานกลาง เพื่อกระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วม
- แคมเปญปิดการขาย: มุ่งเน้นผลตอบแทนสูงสุดจากการลงทุน
"Maximizing ROAS while ignoring other metrics can lead to a marketing strategy that is overly focused on lower-funnel tactics at the expense of other audiences."
- Tina Markowitz, VP, Global Strategy, Cendyn
การวางแผนให้สมดุล
เพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพในทุกส่วนของ funnel การตลาด ควรพิจารณาแนวทางเหล่านี้:
- วัด CPA และ LTV แยกตามช่องทาง เพื่อประเมินผลลัพธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
- ผสานข้อมูลจาก CRM กับการติดตามดิจิทัล เพื่อเข้าใจเส้นทางของลูกค้า (Customer Journey) อย่างครบถ้วน
- วิเคราะห์รายได้แยกตามช่องทางต่าง ๆ เช่น Search และ Display
การตั้งเป้าหมาย ROAS ให้เหมาะสมกับลักษณะของแคมเปญ จะช่วยให้กลยุทธ์การตลาดมีความยืดหยุ่นและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่อาจสร้างรายได้ในอนาคตได้ดีขึ้น
sbb-itb-4ffe5b5
5. ความเชื่อผิด: ROAS จะคงที่ตลอดเวลา
ROAS ไม่ได้คงที่เสมอไป มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาลและกระบวนการเรียนรู้ของแคมเปญ หากคุณคาดหวังว่า ROAS จะนิ่ง คุณอาจพลาดโอกาสในการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ
ปัจจัยที่ทำให้ ROAS ผันผวน
- ระยะการเรียนรู้ของแคมเปญ: ในช่วงเริ่มต้นของแคมเปญ ROAS มักจะต่ำกว่าที่คาด เนื่องจากระบบยังอยู่ในช่วงเรียนรู้
- ฤดูกาลและพฤติกรรมผู้บริโภค: ช่วงเทศกาลหรือ High/Low Season สามารถทำให้ ROAS เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า
วิธีปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือ
- ติดตามรายได้และปรับงบประมาณ: ใช้การจัดการงบประมาณแบบ Multi-channel ที่ตอบสนองต่อแต่ละเฟสของ funnel เพื่อรักษาคุณภาพ ROAS และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
"It's not a one-and-done but rather a continuous effort that requires regular attention."
ในหัวข้อถัดไป เราจะมาดูกันว่าการขยายงบโฆษณาส่งผลต่อ ROAS อย่างไร
6. นอกจากนี้ ความเชื่อผิด: งบโฆษณาที่สูงขึ้นจะทำให้ ROAS ดีขึ้น
ทำไมการเพิ่มงบไม่ใช่คำตอบเสมอไป
การเพิ่มงบประมาณโฆษณาไม่ได้หมายความว่า ROAS (ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา) จะเพิ่มขึ้นเสมอไป นี่เป็นเพราะปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ผลตอบแทนลดลง" ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของโฆษณา:
- ระบบอาจเริ่มแสดงโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ตรงความต้องการมากขึ้น
- ผู้ชมอาจเห็นโฆษณาซ้ำจนเกิดความรู้สึกเบื่อหรือรำคาญ
- การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดโฆษณาอาจทำให้ต้นทุนต่อคลิกหรือการแสดงผลสูงขึ้น
วิธีปรับปรุง ROAS เมื่อต้องการขยายงบประมาณ
การจัดการงบประมาณอย่างระมัดระวังสามารถช่วยรักษาประสิทธิภาพของโฆษณาได้ ลองใช้วิธีเหล่านี้:
- เพิ่มงบประมาณทีละน้อย: ขยายงบอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมติดตามผลลัพธ์อย่างละเอียด
- ปรับเปลี่ยนครีเอทีฟ: สร้างและทดสอบโฆษณาใหม่ เพื่อลดโอกาสที่ผู้ชมจะเบื่อหรือไม่สนใจ
- ขยายกลุ่มเป้าหมายทีละนิด: เพิ่มกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะใกล้เคียงกันอย่างระมัดระวัง เพื่อลดความเสี่ยง
- กระจายงบในหลายช่องทาง: ใช้งบในหลายแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่และลดการพึ่งพาช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากเกินไป
การจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญในการรักษา ROAS ให้คงที่หรือดีขึ้น แม้ในขณะที่ขยายงบประมาณ!
7. ความเชื่อผิด: ROAS ใช้ได้แค่กับร้านค้าออนไลน์
หลายคนอาจเข้าใจว่า ROAS (Return on Ad Spend) ถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจ e-commerce เท่านั้น แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย! ธุรกิจบริการและ B2B ก็สามารถใช้ ROAS เพื่อประเมินประสิทธิภาพของโฆษณาดิจิทัลได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการวัดต้นทุนต่อการได้ลูกค้า (CPA) หรือมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า (LTV)
ตัวอย่างเช่น บริษัทซอฟต์แวร์ในกลุ่ม B2B อาจตั้งเป้าหมาย ROAS ไว้ที่ 8:1 พร้อมกับใช้ CPA เพื่อคัดกรองคุณภาพของลูกค้า แม้ว่าธุรกิจแต่ละประเภทจะมีลักษณะเฉพาะตัว แต่ ROAS ก็ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ตารางเปรียบเทียบ ROAS Myths vs. Facts
ความเชื่อผิด | ข้อเท็จจริง |
---|---|
ROAS เป็นตัวชี้วัดเดียวที่สำคัญ | ควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น เช่น CPA และ CLV เพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น |
ROAS สูง = กำไรสูง | ROAS ไม่ได้บอกถึงกำไรสุทธิ ต้องพิจารณาต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมด |
ROAS ใช้เป็นตัวชี้วัดเดี่ยวได้ | จำเป็นต้องวิเคราะห์ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นในทุกขั้นตอนของ funnel การตลาด |
ทุกแคมเปญต้องใช้เป้า ROAS เดียวกัน | เป้า ROAS ควรปรับให้เหมาะสมกับเป้าหมายของแต่ละแคมเปญ |
ROAS จะคงที่ตลอดเวลา | ROAS อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาลและการพัฒนาแคมเปญ |
งบสูงขึ้น = ROAS ดีขึ้น | การเพิ่มงบประมาณอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง หากไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม |
ROAS ใช้ได้แค่กับร้านค้าออนไลน์ | ROAS สามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจที่มีการตลาดดิจิทัล |
ตารางนี้ช่วยเน้นย้ำถึงความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ROAS และแนะนำแนวทางที่ถูกต้องในการใช้งาน เพื่อให้ธุรกิจในไทยสามารถวัดผลการตลาดดิจิทัลได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขั้นตอนต่อไปเพื่อพัฒนา ROAS ให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อเข้าใจพื้นฐานของ ROAS แล้ว ต่อไปคือวิธีการที่จะช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น:
1. ตั้งเป้าหมายและจัดสรรงบประมาณให้ชัดเจน
- ระบุเป้าหมายที่ต้องการ เช่น ยอดขายหรือรายได้ที่คาดหวัง
- กำหนดงบประมาณโฆษณาให้เหมาะสมกับเป้าหมายและทรัพยากรที่มี
2. ติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ
- ประเมินข้อมูลที่ได้เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
3. ปรับแต่งและทดลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ทดสอบกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่อาจให้ผลตอบแทนดีขึ้น
- ใช้การทดลอง A/B เพื่อเปรียบเทียบและเลือกวิธีที่ได้ผลดีที่สุด
4. รวมช่องทางโฆษณาให้ทำงานร่วมกัน
- เชื่อมโยงช่องทางโฆษณาให้สอดคล้องกับทุกขั้นของ funnel
- สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
- ใช้กลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อเพิ่มความภักดีและกระตุ้นการซื้อซ้ำ
การปรับปรุง ROAS ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาวได้.
