Published Apr 24, 2025 ⦁ 3 min read

เรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง ROAS และ ROI เพื่อเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการวัดผลสำเร็จทางการตลาดของธุรกิจคุณ

เปรียบเทียบ ROAS vs ROI: อะไรสำคัญกว่ากันสำหรับธุรกิจของคุณ

เปรียบเทียบ ROAS vs ROI: อะไรสำคัญกว่ากันสำหรับธุรกิจของคุณ

ROAS (ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา) และ ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยวัดผลลัพธ์ทางการตลาด แต่ทั้งสองมีความแตกต่างกัน:

  1. ROAS: วัดผลลัพธ์เฉพาะจากงบโฆษณา เช่น ทุก 1 บาทที่ใช้จ่ายในโฆษณา ทำรายได้กลับมาเท่าไร
    • สูตร: รายได้ ÷ ค่าโฆษณา
    • ใช้สำหรับ: วิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา
  2. ROI: วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด รวมต้นทุนทุกประเภท เช่น ค่าโฆษณา ค่าแรง และอื่น ๆ
    • สูตร: (รายได้ - ต้นทุนรวม) ÷ ต้นทุนรวม
    • ใช้สำหรับ: ประเมินความคุ้มค่าของธุรกิจโดยรวม
เกณฑ์เปรียบเทียบ ROAS ROI
จุดประสงค์ วัดผลลัพธ์จากโฆษณา วัดผลตอบแทนจากการลงทุนรวม
ต้นทุนที่พิจารณา ค่าโฆษณาเท่านั้น ต้นทุนทุกประเภท
หน่วยวัดผล อัตราส่วน (เช่น 5 เท่า) เปอร์เซ็นต์ (% ผลตอบแทน)
ช่วงค่า เริ่มต้นที่ 0 และเพิ่มขึ้นได้ อาจมีค่าติดลบได้

สรุป:

  • ใช้ ROAS หากต้องการวิเคราะห์และปรับปรุงแคมเปญโฆษณา
  • ใช้ ROI หากต้องการดูภาพรวมผลกำไรและความคุ้มค่า

เลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับเป้าหมายธุรกิจของคุณ เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำและการเติบโตที่ยั่งยืน!

Understanding the difference between ROAS and ROI

ทำความเข้าใจ ROAS และ ROI

มาดูกันว่า ROAS และ ROI คืออะไร และมีวิธีคำนวณอย่างไรให้เข้าใจง่ายขึ้น

ROAS คืออะไร?

ROAS (Return on Ad Spend) คือการวัดผลตอบแทนจากการใช้จ่ายในโฆษณา ตัวอย่างเช่น หากร้านค้าออนไลน์ลงทุนโฆษณา 25,000 บาท และสร้างรายได้ 100,000 บาท จะได้ ROAS = (100,000 ÷ 25,000) × 100% = 400% หมายความว่า ทุก 1 บาทที่ใช้ไปกับโฆษณา จะสร้างรายได้กลับมา 4 บาท

ROI คืออะไร?

ROI (Return on Investment) เป็นการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมด รวมถึงต้นทุนอื่นๆ เช่น หากต้นทุนรวม (รวมค่าโฆษณาและค่าใช้จ่ายอื่น) คือ 105,000 บาท และรายได้รวมคือ 100,000 บาท จะมีกำไรสุทธิ = 100,000 – 105,000 = –5,000 บาท ดังนั้น ROI = (–5,000 ÷ 105,000) × 100% ≈ –4.76%

ความแตกต่างระหว่าง ROAS และ ROI

  • จุดประสงค์:
    ROAS ใช้เพื่อวัดผลเฉพาะแคมเปญโฆษณา ขณะที่ ROI วัดความคุ้มค่าการลงทุนโดยรวม
  • ต้นทุนที่พิจารณา:
    ROAS คำนวณจากค่าโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่ ROI รวมค่าใช้จ่ายทุกประเภท
  • หน่วยวัดผล:
    ROAS แสดงผลเป็นอัตราส่วนรายได้ต่อค่าโฆษณา ส่วน ROI แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ของผลตอบแทน
  • การนำไปใช้:
    ROAS เหมาะสำหรับปรับปรุงแคมเปญโฆษณา ส่วน ROI เหมาะสำหรับวิเคราะห์กำไรสุทธิของธุรกิจ

เมื่อเข้าใจความแตกต่างแล้ว คุณสามารถเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับเป้าหมายธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น

ในส่วนถัดไป เราจะเจาะลึกว่าควรใช้ ROAS หรือ ROI ในสถานการณ์ใดบ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจของคุณ

ROAS vs ROI: ความแตกต่างหลัก

นี่คือจุดที่ ROAS และ ROI แตกต่างกันอย่างชัดเจน:

  • รูปแบบผลลัพธ์: ROAS แสดงผลในรูปแบบอัตราส่วน (เช่น 5 เท่า) ในขณะที่ ROI แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)
  • สูตรคำนวณ:
    • ROAS = รายได้ ÷ ค่าโฆษณา
    • ROI = (รายได้ - ต้นทุนรวม) ÷ ต้นทุนรวม
  • ช่วงค่า: ROAS มีค่าเริ่มต้นที่ 0 และสามารถเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ ส่วน ROI อาจมีค่าติดลบได้หากการลงทุนขาดทุน
  • การใช้งาน: ROAS ใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาโดยเฉพาะ ส่วน ROI ใช้เพื่อประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมดของธุรกิจ

การวิเคราะห์ทั้ง ROAS และ ROI พร้อมกันช่วยให้คุณเข้าใจทั้งประสิทธิภาพของโฆษณาและผลกำไรโดยรวม ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น

ตัวอย่างต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจในประเทศไทยใช้ ROAS และ ROI อย่างไรในสถานการณ์จริง

sbb-itb-4ffe5b5

ตัวอย่างจริงสำหรับธุรกิจไทย

นี่คือตัวอย่างการใช้ ROAS และ ROI ในการประเมินความสำเร็จของธุรกิจในประเทศไทย

การวิเคราะห์แคมเปญโฆษณาด้วย ROAS

ร้านค้าออนไลน์ขายเครื่องสำอาง ลงทุนโฆษณา 50,000 บาท และสร้างยอดขายได้ 450,000 บาท ซึ่งหมายความว่า ROAS เท่ากับ 9 เท่า (450,000 ÷ 50,000)

ROAS ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถระบุได้ว่าแคมเปญไหนสร้างผลตอบแทนดี ช่องทางใดมีประสิทธิภาพ และกลุ่มเป้าหมายใดเหมาะสมที่สุด

การวิเคราะห์การเติบโตทางธุรกิจด้วย ROI

ร้านอาหารแห่งหนึ่งลงทุนด้านดิจิทัล 100,000 บาท พร้อมต้นทุนอื่นอีก 200,000 บาท รวมต้นทุนทั้งหมด 300,000 บาท และสร้างรายได้รวม 450,000 บาท เท่ากับมีกำไร 150,000 บาท หรือ ROI เท่ากับ 50%

ทั้ง ROAS และ ROI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมองเห็นทั้งประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาและผลกำไรโดยรวมได้อย่างชัดเจน

วิธีการของ VenueE Performance Marketing

VenueE Performance Marketing

VenueE Performance Marketing ใช้ทั้ง ROAS และ ROI เพื่อประเมินผลแคมเปญของลูกค้า โดยมีระบบติดตามผลแบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้:

  • ปรับเปลี่ยนแคมเปญได้ทันที
  • วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคอย่างละเอียด
  • ค้นหาโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญ

การวิเคราะห์เชิงลึกนี้ช่วยให้ลูกค้าของ VenueE ได้ผลลัพธ์ที่ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสม

วิธีเลือกระหว่าง ROAS และ ROI

การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายหลักของธุรกิจคุณ:

  • ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายหรือผลักดันแคมเปญใหม่: ใช้ ROAS (ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา) เพื่อวัดว่าการลงทุนในโฆษณาสร้างรายได้มากน้อยเพียงใด
  • ถ้าต้องการวิเคราะห์ผลกำไรสุทธิ: ใช้ ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) เพื่อประเมินว่าการลงทุนโดยรวมให้กำไรหรือขาดทุน

พูดง่าย ๆ คือ ROAS เหมาะสำหรับการกระตุ้นการเติบโตในระยะสั้น ส่วน ROI ให้ภาพรวมของผลตอบแทนในระยะยาว.

สำหรับการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมมากขึ้นในระยะยาว ควรพิจารณาเพิ่มมูลค่าช่วงอายุลูกค้า (LTV) เข้าไปในสมการของทั้ง ROAS และ ROI เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น.

บทสรุป

การเลือกใช้ ROAS และ ROI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจเป็นก้าวสำคัญ และการมีพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยผลักดันให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

สรุปประเด็นสำคัญ

การวัดผลความสำเร็จทางการตลาดต้องเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับเป้าหมายของธุรกิจ โดย ROAS และ ROI มีจุดเด่นที่ต่างกัน:

  • ROAS เหมาะสำหรับวัดผลลัพธ์ของการโฆษณาและช่วยเพิ่มยอดขายในระยะสั้น
  • ROI เหมาะสำหรับประเมินผลตอบแทนโดยรวมและความคุ้มค่าในระยะยาว

ทำไมต้องเลือก VenueE?

VenueE Performance Marketing เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Performance Marketing ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจ SME โดยเฉพาะ:

  • ได้รับการรับรองในฐานะ Meta Agency Partner อย่างเป็นทางการ
  • มีประสบการณ์บริหารงบโฆษณารวมกว่า 150 ล้านบาทต่อปี
  • ให้บริการรายงานผลแบบเรียลไทม์ 24/7 และจัดประชุมทีมทุก 2 สัปดาห์

การใช้ ROAS และ ROI ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับ VenueE จะช่วยให้ธุรกิจวิเคราะห์ผลลัพธ์และพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลได้อย่างแม่นยำ พร้อมสร้างโอกาสให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง

FAQs

ROAS และ ROI ควรนำมาใช้ในสถานการณ์ใดเพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จมากที่สุด?

ROAS (Return on Ad Spend) เหมาะสำหรับการวัดผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาในแง่ของรายได้ที่ได้รับกลับมาเมื่อเทียบกับงบโฆษณาที่ใช้ไป ช่วยให้คุณทราบว่าแคมเปญใดให้ผลตอบแทนดีที่สุดในเชิงรายได้ และเหมาะสำหรับการขยายธุรกิจหรือเพิ่มยอดขาย

ในทางกลับกัน ROI (Return on Investment) เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ผลกำไรโดยรวมของธุรกิจ โดยคำนวณจากกำไรสุทธิเทียบกับต้นทุนรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่เฉพาะงบโฆษณาเท่านั้น เหมาะสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มผลกำไรระยะยาว

สรุป: หากต้องการขยายยอดขายและวัดผลลัพธ์ของงบโฆษณา ให้เลือกใช้ ROAS แต่ถ้าคุณต้องการวิเคราะห์ผลกำไรโดยรวมของธุรกิจ ให้ใช้ ROI เพื่อช่วยวางแผนเชิงกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น

ROAS และ ROI ต่างกันอย่างไรในแง่ของข้อมูลที่ใช้คำนวณ?

ROAS (Return on Ad Spend) และ ROI (Return on Investment) มีวิธีคำนวณและการใช้ข้อมูลที่แตกต่างกัน:

  • ROAS ใช้ข้อมูลรายได้ที่เกิดจากแคมเปญโฆษณาและค่าใช้จ่ายในการโฆษณา โดยเน้นวัดผลเฉพาะประสิทธิภาพของการใช้เงินในโฆษณา
  • ROI ใช้ข้อมูลรายได้รวมและต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจ (รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นอกเหนือจากโฆษณา) เพื่อวัดผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวม

สรุปง่าย ๆ ROAS จะเหมาะสำหรับการวัดผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาโดยตรง ในขณะที่ ROI ให้ภาพรวมของความคุ้มค่าทั้งหมดของการลงทุนในธุรกิจของคุณ

มีวิธีไหนที่ช่วยให้การวิเคราะห์ ROAS และ ROI แม่นยำและเหมาะสมกับธุรกิจในไทยมากขึ้น?

เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ ROAS และ ROI สำหรับธุรกิจในไทย คุณสามารถใช้วิธีเหล่านี้:

  • วิเคราะห์รายได้รวม: คำนวณรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากแต่ละแคมเปญหรือช่องทางการตลาด เพื่อให้เข้าใจผลตอบแทนที่แท้จริง
  • ติดตามมูลค่าลูกค้าตลอดชีพ (LTV): ใช้ระบบ CRM และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อประเมินมูลค่าของลูกค้าในระยะยาว
  • เปรียบเทียบต้นทุนต่อการได้ลูกค้า (CPA): ตรวจสอบต้นทุนการได้ลูกค้าผ่านแต่ละช่องทาง เพื่อหาช่องทางที่คุ้มค่าที่สุด

อย่าลืมตั้งกรอบเวลาในการติดตามผลลัพธ์อย่างเหมาะสม เช่น 2-3 เดือน เพื่อให้แคมเปญมีเวลาเพียงพอในการสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้น

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ