เรียนรู้ 5 เทคนิคเพิ่ม ROAS บน Facebook Ads ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนในปี 2025 ด้วยกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ.

5 เทคนิคเพิ่ม ROAS ในแคมเปญ Facebook Ads ที่ใช้ได้จริงในปี 2025
อยากเพิ่ม ROAS (ผลตอบแทนจากการโฆษณา) บน Facebook Ads? นี่คือ 5 เทคนิคที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในปี 2025:
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายด้วย Custom และ Lookalike Audiences: ใช้ข้อมูลจาก CRM, เว็บไซต์ หรือการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำและมีโอกาสซื้อสูง
- ตั้งค่า Conversion Tracking อย่างถูกต้อง: ติดตั้ง Meta Pixel และ Conversions API เพื่อติดตามผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ
- ทดสอบดีไซน์โฆษณา (A/B Test): ลองปรับภาพ วิดีโอ และข้อความ เพื่อค้นหาแนวทางที่ได้ผลดีที่สุด
- จัดสรรงบประมาณและการประมูลให้เหมาะสม: ใช้กลยุทธ์การประมูล เช่น Lowest-cost หรือ Minimum ROAS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ติดตามผลแบบเรียลไทม์: ใช้ Ads Manager วิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงแคมเปญทันที
เปรียบเทียบเทคนิคแบบรวดเร็ว:
เทคนิค | ระยะเวลาเห็นผล | ความซับซ้อน | ผลกระทบต่อ ROAS | งบประมาณเริ่มต้น |
---|---|---|---|---|
Custom & Lookalike Audiences | 1-2 สัปดาห์ | ปานกลาง | สูง (6-8x) | 900+ บาท/วัน |
Conversion Tracking | 2-4 สัปดาห์ | สูง | สูงมาก (8-10x) | 300+ บาท/วัน |
การทดสอบดีไซน์ | 1-3 สัปดาห์ | ต่ำ | ปานกลาง (4-6x) | 500+ บาท/วัน |
การจัดสรรงบประมาณ | 3-7 วัน | ปานกลาง | สูง (6-8x) | 300+ บาท/วัน |
การติดตามแบบเรียลไทม์ | ทันที | ต่ำ | ปานกลาง (4-6x) | ไม่จำกัด |
เริ่มต้นด้วยการเลือกเทคนิคที่เหมาะกับเป้าหมายและงบประมาณของคุณ แล้วปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่ม ROAS!
เพิ่มยอดขายจาก Facebook Ads ด้วยฟีเจอร์ Conversion API จาก ...
1. การกำหนดกลุ่มเป้าหมายด้วย Custom และ Lookalike Audiences
Custom และ Lookalike Audiences เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเข้าถึงกลุ่มที่มีโอกาสซื้อสูง และช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการโฆษณา (ROAS)
การสร้าง Custom Audiences ที่มีประสิทธิภาพ
การสร้าง Custom Audiences ควรใช้ข้อมูลที่มาจากหลากหลายแหล่งเพื่อสะท้อนพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างแท้จริง เช่น:
- ข้อมูล CRM: เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ โดยแบ่งตามมูลค่าการซื้อหรือ Customer Lifetime Value (CLV)
- ข้อมูลจากเว็บไซต์: เช่น ผู้ที่เคยซื้อสินค้าหรือกรอกฟอร์ม เหมาะสำหรับการทำรีมาร์เก็ตติ้ง
- ข้อมูลการมีส่วนร่วม: เช่น ผู้ที่ดูวิดีโอหรือกดไลค์โพสต์ เหมาะสำหรับกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ
การสร้าง Lookalike Audiences ที่มีความแม่นยำ
สำหรับการสร้าง Lookalike Audiences ที่มีคุณภาพ Facebook แนะนำให้ใช้ข้อมูลต้นฉบับ (Seed Audience) อย่างน้อย 100 คนจากประเทศเป้าหมายเดียวกัน แต่จำนวนที่เหมาะสมคือระหว่าง 1,000–50,000 คน โดยควรเน้นความคล้ายคลึงกันของกลุ่ม (homogeneity) มากกว่าขนาดของกลุ่ม.
ขั้นตอนการสร้าง Lookalike Audience
- ไปที่ Ads Manager > Audiences > Create
- อัปโหลดข้อมูล seed อย่างน้อย 100 ราย
- เลือกประเทศเป้าหมาย
- กำหนดขนาดกลุ่ม (1–10%)
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- แบ่งข้อมูล seed ตาม CLV หรือประวัติการซื้อ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีความคล้ายคลึงกันมากยิ่งขึ้น
หลังจากได้กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมแล้ว อย่าลืมตั้งค่า Conversion Tracking ให้ถูกต้องเพื่อวัดผลได้อย่างแม่นยำ!
2. ตั้งค่า Conversion Tracking
การตั้งค่า Conversion อย่างแม่นยำเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ROAS ให้กับแคมเปญ Facebook Ads ในปี 2025 การตั้งค่าที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณเข้าใจผลลัพธ์ของโฆษณาได้อย่างชัดเจนและนำไปปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ติดตั้ง Meta Pixel ให้ถูกต้อง
Meta แนะนำให้ใช้ Meta Pixel ควบคู่กับ Conversions API เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการติดตาม โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- สร้าง Pixel: ไปที่ Events Manager > Connect data sources (Web) > ตั้งชื่อ Pixel และระบุ URL เว็บไซต์ของคุณ
- ติดตั้งโค้ด Pixel: นำโค้ดไปวางใน
<head>
ของเว็บไซต์ หรือหากใช้ WordPress สามารถติดตั้งผ่านปลั๊กอินที่รองรับได้
การตั้งค่าประเภทเหตุการณ์สำหรับการติดตาม
เลือกประเภทเหตุการณ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจของคุณ:
- Standard Events: เช่น Purchase, Add to Cart, Lead
- Custom Events: สำหรับกิจกรรมเฉพาะที่ต้องการติดตาม
- Custom Conversions: เช่น การเข้าชมหน้าขอบคุณหลังจากทำการซื้อ
ข้อควรระวังในการตั้งค่า Conversion Tracking
- ปรับ Attribution Window ให้เหมาะสม: ควรครอบคลุมเส้นทางการตัดสินใจของลูกค้า อย่าจำกัดแค่ Last-touch Attribution
- ตรวจสอบการติดตั้ง Pixel: เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้มาครบถ้วนและไม่มีการสูญหาย
- เลือกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย: เน้นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ แทนที่จะโฟกัสแค่การมีส่วนร่วมทั่วไป
เมื่อการตั้งค่า Conversion Tracking เสร็จสมบูรณ์ ขั้นตอนถัดไปคือการทดสอบดีไซน์โฆษณาอย่างเป็นระบบเพื่อค้นหาสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดในแคมเปญของคุณ
3. ทดสอบดีไซน์โฆษณาอย่างเป็นระบบ
เมื่อคุณตั้งค่า Conversion Tracking ได้อย่างถูกต้องแล้ว ขั้นต่อไปคือการทดสอบดีไซน์โฆษณาอย่างเป็นระบบด้วย A/B Test วิธีนี้ช่วยให้คุณค้นหาแนวทางที่เพิ่ม ROAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นไปที่ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์อย่างชัดเจน
องค์ประกอบที่ควรทดสอบ
ภาพและวิดีโอ
- เปรียบเทียบภาพนิ่งกับวิดีโอ: ลองปรับสี พื้นหลัง การจัดวาง ข้อความบนภาพ หรือแม้กระทั่งความยาวและเนื้อหาของวิดีโอ
ข้อความโฆษณา
- ข้อความสั้นเทียบกับข้อความยาว
- การนำเสนอที่แตกต่าง เช่น การชูจุดเด่นของสินค้า เล่าเรื่องราวของแบรนด์ หรือแนะนำผลิตภัณฑ์โดยตรง
วิธีการทดสอบที่ได้ผล
- ทดสอบตัวแปรทีละตัว: เพื่อให้รู้ผลลัพธ์ที่แท้จริงว่าตัวแปรใดส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ
- กำหนดระยะเวลาการทดสอบที่เหมาะสม: ให้เวลามากพอสำหรับการเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยตามฤดูกาลหรือแคมเปญพิเศษที่อาจมีผลต่อผลลัพธ์
สิ่งที่ต้องระวัง
- อย่าลืมตรวจสอบว่าโฆษณาของคุณแสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์มือถือ เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่มักเข้าถึงผ่านสมาร์ทโฟน
การทดสอบดีไซน์โฆษณาแบบนี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่ารูปแบบใดเหมาะสมที่สุดกับกลุ่มเป้าหมาย ก่อนนำไปใช้ในขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณและการเสนอราคาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
sbb-itb-4ffe5b5
4. จัดสรรงบประมาณและการประมูลให้เหมาะสม
จัดการงบประมาณและกลยุทธ์การประมูลให้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุดด้วยวิธีเหล่านี้
เมื่อคุณระบุรูปแบบโฆษณาที่ได้ผลแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวางแผนงบประมาณและการตั้งค่าประมูลให้เหมาะสม
การจัดสรรงบประมาณ
Ad Set Budget Optimization (ABO) ช่วยควบคุมงบประมาณในระดับ Ad Set โดยมี ROAS เฉลี่ยอยู่ที่ 94% สำหรับแคมเปญ Prospecting เทียบกับ 81% จากการใช้ Campaign Budget Optimization (CBO)
- เริ่มต้นด้วยงบประมาณ 300–900 บาทต่อวัน เพื่อสะสมข้อมูลสำหรับการทดสอบ
- แบ่งแคมเปญออกเป็นสองประเภท: Prospecting (หาลูกค้าใหม่) และ Retargeting (ดึงดูดลูกค้าเดิม)
การตั้งค่าประมูลตามเป้าหมาย
- Lowest-cost: เหมาะสำหรับสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือเพิ่มจำนวนการชมวิดีโอ (ควบคุมต่ำ)
- Cost Cap: ใช้สำหรับการเก็บข้อมูลผู้สนใจ (ลีด) หรือคอนเวอร์ชัน (ควบคุมปานกลาง)
- Minimum ROAS: เหมาะสำหรับการตั้งเป้ารายได้ขั้นต่ำ เช่น การติดตั้งแอปหรือคอนเวอร์ชัน (ควบคุมสูง)
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา
คำแนะนำการตั้งค่า:
- ใช้ Broad Targeting เพื่อให้ Meta AI ช่วยปรับกลุ่มเป้าหมายตามข้อมูลการแปลงที่เกิดขึ้นจริง
- เน้นการตั้งค่าที่มุ่งเน้นไปที่ Purchase Optimization แทนการเพิ่ม Traffic เพื่อเชื่อมโยงตรงกับยอดขาย
- ตั้งค่าโฆษณาให้มุ่งเน้นการสร้างยอดขาย (Purchase Optimization) แทนการคลิก
- ใช้โฆษณาเพียงหนึ่งตัวต่อ Ad Set เพื่อให้ติดตามผลและปรับแต่งได้ง่ายขึ้น
สิ่งที่ควรระวัง
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าแลนดิ้งเพจสอดคล้องกับเนื้อหาโฆษณา เพื่อเพิ่มอัตราการคอนเวอร์ชัน
- ติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง และปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ได้รับ
- เปรียบเทียบต้นทุน CPM ระหว่างโฆษณารูปภาพ (~150 บาท) และวิดีโอ (~210 บาท)
5. ติดตามประสิทธิภาพด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์
เมื่อคุณจัดสรรงบประมาณและตั้งค่าการประมูลเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการติดตามผลแบบเรียลไทม์เพื่อปรับปรุง ROAS ได้ทันที การวิเคราะห์ข้อมูลในเวลาจริงช่วยให้คุณเห็นว่าโฆษณาตัวไหนยังไม่ทำงานได้ตามเป้า และสามารถปรับแก้ได้อย่างรวดเร็ว
ใน Ads Manager คุณสามารถปรับแต่งคอลัมน์และฟิลเตอร์เพื่อดูผลลัพธ์แยกตามระดับแคมเปญ ชุดโฆษณา และตัวโฆษณา วิธีนี้ช่วยให้มองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้นว่าอะไรทำงานได้ดีและอะไรต้องปรับปรุง
ตั้งค่า Break-even ROAS และเปรียบเทียบกับเกณฑ์ในอุตสาหกรรม (เช่น 4:1–10:1) จากนั้นปรับกลยุทธ์โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการติดตามแบบเรียลไทม์ การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงผลลัพธ์ได้ต่อเนื่องและทันต่อสถานการณ์.
เปรียบเทียบเทคนิคเพิ่ม ROAS
เมื่อคุณมีข้อมูลจากการติดตามผลแบบเรียลไทม์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละเทคนิค เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเป้าหมายของคุณ:
เทคนิค | ระยะเวลาเห็นผล | ความซับซ้อน | ผลกระทบต่อ ROAS | งบประมาณเริ่มต้น |
---|---|---|---|---|
Custom & Lookalike Audiences | 1-2 สัปดาห์ | ปานกลาง | สูง (6-8x) | 900+ บาท/วัน |
Conversion Tracking | 2-4 สัปดาห์ | สูง | สูงมาก (8-10x) | 300+ บาท/วัน |
การทดสอบดีไซน์ | 1-3 สัปดาห์ | ต่ำ | ปานกลาง (4-6x) | 500+ บาท/วัน |
การจัดสรรงบประมาณ | 3-7 วัน | ปานกลาง | สูง (6-8x) | 300+ บาท/วัน |
การติดตามแบบเรียลไทม์ | ทันที | ต่ำ | ปานกลาง (4-6x) | ไม่จำกัด |
แนวทางเลือกเทคนิคที่เหมาะสม
- ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด: การผสมผสานระหว่าง Conversion Tracking และ Custom Audiences มักให้ผลตอบแทนสูงสุด
- เห็นผลเร็ว: การติดตามแบบเรียลไทม์ช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้ทันที
- ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า: การทดสอบดีไซน์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบจำกัด
- การวางแผนระยะยาว: การจัดสรรงบประมาณช่วยสร้างความมั่นคงในการลงทุนโฆษณา
การเลือกใช้เทคนิคขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรของคุณ อย่าลืมประเมินทั้งผลลัพธ์ที่ต้องการและความเหมาะสมของแต่ละเครื่องมือกับธุรกิจของคุณ!
สรุป
5 เทคนิคเหล่านี้ช่วยให้คุณเพิ่ม ROAS บน Facebook Ads ในปี 2025 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากนำไปปรับใช้ตามข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ การเพิ่ม ROAS ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพียงแค่คุณทำตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีกับกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้
เริ่มจากการวางแผน ตั้งเป้าหมายทางธุรกิจให้ชัดเจน และจัดสรรงบประมาณให้เหมาะกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ นี่คือก้าวแรกที่สำคัญ
อย่าลืมให้ความสำคัญกับการปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล รวมถึงการใช้ Social Commerce เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้ โดยใช้ฟีเจอร์อย่างกลุ่มเป้าหมายแบบไดนามิกและ Lookalike Audiences ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำ
เริ่มต้นด้วยการตั้งค่า Facebook Ads Manager ให้ถูกต้อง จากนั้นทดลองใช้เทคนิคต่างๆ ทีละขั้นตอน ปรับเปลี่ยนตามผลลัพธ์ที่ได้ เพื่อค้นหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ
FAQs
การสร้าง Custom Audiences และ Lookalike Audiences ต้องใช้ข้อมูลอะไรบ้าง และใช้งานอย่างไร?
Custom Audiences สามารถสร้างได้จากข้อมูลที่คุณมีอยู่ เช่น รายชื่อลูกค้า, พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์หรือแอป, หรือ การมีส่วนร่วมในโพสต์หรือโฆษณาบน Facebook และ Instagram. ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ.
Lookalike Audiences ใช้ข้อมูลจาก Custom Audiences เพื่อค้นหาผู้ใช้งานที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยระบบจะวิเคราะห์พฤติกรรมและคุณลักษณะของกลุ่มเป้าหมายเดิม แล้วขยายการเข้าถึงไปยังผู้ใช้งานใหม่ที่มีโอกาสสนใจโฆษณาของคุณ.
การใช้ทั้งสองฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด และสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุน.
Meta Pixel และ Conversions API คืออะไร และติดตั้งอย่างไรให้เหมาะสมกับการติดตามผลโฆษณา?
Meta Pixel และ Conversions API เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการติดตามผลและเพิ่มความแม่นยำของโฆษณาบน Facebook Ads ในปี 2025 โดย Meta Pixel จะช่วยติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ เช่น การคลิกหรือการซื้อสินค้า ส่วน Conversions API จะส่งข้อมูลโดยตรงจากเซิร์ฟเวอร์ไปยัง Meta เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจาก Browser และ Ad blockers
การติดตั้ง Meta Pixel สามารถทำได้โดยเข้าสู่ Facebook Events Manager เลือกบัญชีโฆษณา และติดตั้ง Pixel บนเว็บไซต์ผ่านวิธีที่เหมาะสม เช่น Partner Integration หรือ Manual Setup สำหรับ Conversions API คุณสามารถตั้งค่าได้โดยสร้าง Access Token และเชื่อมต่อ Server Endpoint เพื่อส่งข้อมูลเหตุการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ
การติดตั้งทั้ง Meta Pixel และ Conversions API จะช่วยให้การติดตามผลโฆษณามีความแม่นยำและครบถ้วนมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้สามารถปรับปรุงแคมเปญเพื่อเพิ่ม ROI และ ROAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีทดสอบดีไซน์โฆษณาแบบไหนที่ช่วยเพิ่ม ROAS ได้จริง?
การทดสอบดีไซน์โฆษณาเพื่อเพิ่ม ROAS อย่างมีประสิทธิภาพสามารถทำได้โดยใช้วิธี A/B Testing หรือการทดสอบแบบแยกกลุ่ม ซึ่งช่วยให้คุณเปรียบเทียบเวอร์ชันต่างๆ ของโฆษณาได้อย่างแม่นยำ โดยเริ่มจากการสร้างโฆษณาหรือแคมเปญที่เหมือนกัน แล้วปรับเปลี่ยนเพียงแค่ตัวแปรเดียว เช่น ภาพโฆษณา, ข้อความ, กลุ่มเป้าหมาย หรือ ตำแหน่งการแสดงผล เพื่อดูผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ คุณสามารถทดลองใช้ องค์ประกอบสร้างสรรค์ ที่หลากหลาย เช่น ภาพนิ่ง, วิดีโอ, ข้อความโฆษณา หรือคำกระตุ้นให้ดำเนินการ (Call-to-Action) เพื่อค้นหาสิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด การปรับเปลี่ยนทีละตัวแปรจะช่วยให้วิเคราะห์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ และอย่าลืมทดลองรูปแบบโฆษณาต่างๆ เช่น ภาพเดี่ยว, วิดีโอ หรือคารูเซล เพื่อดูว่ารูปแบบใดเหมาะสมที่สุดกับวัตถุประสงค์ของคุณ
