เรียนรู้การวัดผลการตลาด Influencer Marketing ด้วย 10 KPI สำคัญเพื่อปรับกลยุทธ์และเพิ่ม ROI อย่างมีประสิทธิภาพ.

10 KPI วัดผล Influencer Marketing
การวัดผลแคมเปญ Influencer Marketing ให้ได้ผลดีที่สุดต้องติดตาม 10 KPI สำคัญ ที่ช่วยประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และปรับกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ:
- Total Reach: จำนวนคนที่เห็นเนื้อหา
- Total Impressions: จำนวนครั้งที่เนื้อหาปรากฏ (รวมการเห็นซ้ำ)
- Engagement Metrics: การตอบสนอง เช่น Like, Comment, Share
- Click Rate (CTR): อัตราการคลิกจากการแสดงผล
- Sales Conversion: ยอดขายที่เกิดจากแคมเปญ
- Website Traffic: ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น ผู้เข้าชมใหม่, ระยะเวลาเฉลี่ย
- Follower Growth: การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดตาม
- Brand Mentions: การกล่าวถึงแบรนด์ผ่าน @mentions หรือแฮชแท็ก
- Brand Sentiment: ความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์
- Content Adherence: ความสอดคล้องของเนื้อหากับภาพลักษณ์แบรนด์
การใช้ KPI เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจติดตามผลได้ชัดเจน และปรับปรุงแคมเปญได้ทันทีเพื่อเพิ่ม ROI
Influencer Marketing EP.10 เลือก Metrics วัดผลการตลาดดิจิทัล ...
1. Total Reach
Total Reach หมายถึงจำนวนผู้ชมที่ได้เห็นเนื้อหาจากอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของกลุ่มเป้าหมายที่สามารถเข้าถึงแคมเปญได้จริง
วิธีเพิ่ม Total Reach
- สร้างเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย พร้อมใช้แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นพบ
- ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์เพิ่มเติม เพื่อขยายการเข้าถึงไปยังกลุ่มผู้ชมใหม่
- ติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่แท้จริง
ในหัวข้อต่อไป เราจะพูดถึง Total Impressions ซึ่งช่วยบอกถึงความถี่ที่ผู้ชมเห็นเนื้อหาซ้ำกัน.
2. Total Impressions
Total Impressions หมายถึงจำนวนครั้งที่เนื้อหาของคุณถูกแสดง ไม่ว่าจะเป็นการเห็นซ้ำหรือไม่ ต่างจาก Total Reach ซึ่งนับเฉพาะจำนวนผู้ชมที่ไม่ซ้ำกัน
การวัดและวิเคราะห์ Total Impressions
การทำความเข้าใจ Total Impressions สามารถมองได้จาก 3 มุมมองหลัก:
-
ความถี่ในการเห็นเนื้อหา
ความถี่นี้สามารถคำนวณได้จากสูตร:
Total Impressions ÷ Total Reach = ความถี่เฉลี่ยที่แต่ละคนเห็นเนื้อหา
ตัวเลขนี้ช่วยให้คุณประเมินได้ว่าเนื้อหาถูกแสดงซ้ำมากน้อยเพียงใดต่อผู้ชมแต่ละคน -
การกระจายของ Impressions
วิเคราะห์ว่า Impressions กระจายตัวในช่วงเวลาใดบ้าง เช่น ช่วงที่เนื้อหามีประสิทธิภาพสูงสุดหรือช่วงที่กลุ่มเป้าหมายใช้งานแพลตฟอร์มมากที่สุด
การติดตามนี้ช่วยให้คุณสามารถวางแผนการโพสต์ได้เหมาะสมยิ่งขึ้น -
คุณภาพของ Impressions
ดูข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลประชากร พฤติกรรมการมีส่วนร่วม และอัตราคลิก (CTR) เพื่อประเมินว่าการแสดงผลนั้นมีผลต่อเป้าหมายของคุณหรือไม่
เคล็ดลับในการปรับปรุง Total Impressions
- โพสต์ในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายของคุณออนไลน์มากที่สุด
- สร้างเนื้อหาที่ดึงดูด พร้อมใช้แฮชแท็กหรือคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มการมองเห็น
- เน้นกระตุ้น Engagement ด้วยคำถามหรือเนื้อหาที่กระตุ้นการโต้ตอบ
ถัดไป เราจะมาดูตัวชี้วัด KPI Engagement Metrics เพื่อวัดการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึกยิ่งขึ้น
3. Engagement Metrics
หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Total Impressions แล้ว มาดูที่ Engagement Metrics ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึก
Engagement Metrics ประกอบด้วย Like/React, Comment และ Share ซึ่งช่วยสะท้อนคุณภาพของการมีส่วนร่วม:
- Like/React: แสดงถึงความรู้สึกเชิงบวกหรือการตอบสนองต่อโพสต์
- Comment: บ่งบอกถึงความสนใจหรือความตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมกับเนื้อหา
- Share: ชี้ให้เห็นว่าผู้ติดตามต้องการแบ่งปันเนื้อหาไปยังคนอื่น
ข้อมูลจาก Engagement Metrics นี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มความสนใจของผู้ติดตาม และนำไปปรับปรุงกลยุทธ์ เช่น การตั้งคำถามที่กระตุ้นความคิดเห็น การตอบกลับที่สม่ำเสมอ และการสร้างบทสนทนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว
ในหัวข้อต่อไป เราจะพูดถึง Click Rate Analysis ซึ่งเป็นการวิเคราะห์อัตราการคลิกจากจำนวนผู้ที่เห็นเนื้อหา
4. การวิเคราะห์อัตราการคลิก (Click Rate Analysis)
หลังจากประเมิน Engagement Metrics แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเจาะลึกไปที่การวิเคราะห์อัตราการคลิก (Click Rate Analysis) เพื่อวัดผลและปรับปรุงแคมเปญ Influencer Marketing ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น.
การวัดอัตราการคลิก (CTR) และพฤติกรรมผู้ชม
การวิเคราะห์นี้แบ่งเป็นสองส่วนหลัก:
-
CTR (Click-Through Rate)
คำนวณจากสูตร:
CTR = (จำนวนคลิก ÷ จำนวนการแสดงผล) × 100
ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์สามารถดึงดูดผู้ชมให้คลิกได้มากน้อยแค่ไหน และช่วยประเมินว่าทราฟฟิกที่ได้สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสทางธุรกิจได้หรือไม่ -
การวิเคราะห์ปลายทางคลิก
ติดตามพฤติกรรมของผู้ชมเมื่อพวกเขาไปถึงหน้าเว็บปลายทาง เพื่อเข้าใจว่าพวกเขาสนใจอะไรและตอบสนองต่อเนื้อหาอย่างไร
วิธีปรับปรุงอัตราการคลิก
- ใช้ UTM Parameters
เพื่อติดตามว่าแหล่งที่มาหรือช่องทางใดสร้าง CTR ได้ดีที่สุด - ทดสอบ A/B สำหรับ CTA
ทดลองข้อความหรือดีไซน์ Call-to-Action (CTA) ที่หลากหลาย เพื่อค้นหาสิ่งที่กระตุ้นการคลิกได้ดีที่สุด
5. การติดตามยอดขายและการเปลี่ยนแปลงเป็นลูกค้า
เมื่อรู้ว่าอัตราการคลิกเป็นอย่างไร ขั้นตอนต่อไปคือการเปลี่ยนทราฟฟิกเหล่านั้นให้กลายเป็นยอดขายจริง
Sales Conversion Tracking ช่วยให้คุณสามารถวัด ROI จากยอดขายที่เกิดขึ้นผ่านแคมเปญ Influencer Marketing ได้โดยตรง
เพื่อให้การติดตามยอดขายมีประสิทธิภาพ ลองทำตามวิธีเหล่านี้:
- ใช้ UTM parameter, โค้ดส่วนลด หรือ affiliate link เพื่อตรวจสอบว่ายอดขายมาจากอินฟลูเอนเซอร์คนไหน
- ติดตามยอดขายเป็นรายสัปดาห์ และเปรียบเทียบระหว่างช่วงก่อนและหลังแคมเปญ
- ปรับข้อความ CTA หรือเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ในโฆษณา หากผลลัพธ์ยอดขายยังไม่เป็นไปตามที่คาด
VenueE Performance Marketing มีระบบ Sales Tracking บนบัญชีธุรกิจ ที่ช่วยธุรกิจ SME ติดตามยอดขายแบบเรียลไทม์ พร้อมรายงานผลอย่างโปร่งใส
ขั้นตอนถัดไป เราจะมาวิเคราะห์ Website Traffic Data เพื่อเข้าใจเส้นทางการซื้อของลูกค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
sbb-itb-4ffe5b5
6. ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์
มาดู ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมและการตอบสนองของผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านแคมเปญ Influencer Marketing ได้ดียิ่งขึ้น
ตัวชี้วัดที่ควรติดตาม
- จำนวนผู้เข้าชมใหม่: ช่วยวัดการดึงดูดผู้ชมหน้าใหม่จากแคมเปญ
- ระยะเวลาเฉลี่ยบนเว็บไซต์: บ่งบอกว่าผู้เข้าชมสนใจเนื้อหาเพียงใด
- อัตราการออก: ใช้ประเมินว่าผู้ชมออกจากเว็บไซต์เร็วแค่ไหน
- เส้นทางการเข้าชม: แสดงว่าผู้ใช้มาจากช่องทางใดและเดินทางในเว็บไซต์อย่างไร
วิธีติดตามข้อมูลทราฟฟิกอย่างมีประสิทธิภาพ
- ติดตั้ง Google Analytics: เตรียมพร้อมระบบวิเคราะห์ข้อมูลก่อนเริ่มแคมเปญ
- ตั้งค่า UTM Parameter: แยกตามอินฟลูเอนเซอร์เพื่อวัดผลได้ชัดเจน
- เปรียบเทียบข้อมูล: ดูความแตกต่างระหว่างก่อนและระหว่างแคมเปญ
- วิเคราะห์หน้าเพจยอดนิยม: ระบุจุดที่ผู้ใช้หยุดโต้ตอบและปรับ Call-to-Action (CTA) ให้เหมาะสม
VenueE Performance Marketing มีบริการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลทราฟฟิกเว็บไซต์ พร้อมระบบรายงานที่ชัดเจนและโปร่งใส ช่วยธุรกิจ SME ปรับปรุงแคมเปญได้อย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
ในส่วนถัดไป เราจะพูดถึง การเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้ติดตาม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของฐานผู้ชมของคุณ
7. การเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้ติดตาม
การวิเคราะห์ทราฟฟิกสามารถนำไปต่อยอดเพื่อดูการเติบโตของจำนวนผู้ติดตามได้ การติดตามตัวเลขนี้ถือเป็น KPI สำคัญ ที่ช่วยประเมินผลของแคมเปญ Influencer Marketing ต่อการสร้างการรับรู้และขยายฐานผู้ติดตามของแบรนด์
วิธีวัดผลที่ชัดเจน
เริ่มต้นด้วยการบันทึกจำนวนผู้ติดตามก่อนเริ่มแคมเปญ จากนั้นติดตามผลรายวันระหว่างแคมเปญและต่อเนื่องอีก 30 วันหลังแคมเปญสิ้นสุด
การประเมินคุณภาพของผู้ติดตาม
ไม่ใช่แค่จำนวนผู้ติดตามเท่านั้นที่สำคัญ แต่คุณภาพของผู้ติดตามก็เป็นปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา:
- ตรวจสอบบัญชีปลอม: ตรวจสอบว่าผู้ติดตามใหม่ไม่ใช่บัญชีปลอมหรือบอท
- การมีส่วนร่วม: พิจารณาว่าผู้ติดตามใหม่มีการโต้ตอบกับเนื้อหาหรือไม่
- ตรงกลุ่มเป้าหมาย: วิเคราะห์ว่าผู้ติดตามใหม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดหรือไม่
ใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงแคมเปญ
ข้อมูลที่ได้สามารถนำมาใช้ปรับปรุงแคมเปญได้ในหลายแง่มุม เช่น:
- เปรียบเทียบอัตราการเติบโตกับงบประมาณที่ใช้
- วิเคราะห์ช่วงเวลาที่จำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมากที่สุด
- ระบุเนื้อหาที่สร้างความสนใจและดึงดูดผู้ติดตามได้ดีที่สุด
- ปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้เหมาะสมตามข้อมูลเชิงลึก
VenueE Performance Marketing ช่วยให้ธุรกิจ SME ติดตามการเติบโตของผู้ติดตามแบบเรียลไทม์ พร้อมรายงานเชิงลึกที่ช่วยปรับแคมเปญได้ทันที
8. การนับจำนวนการกล่าวถึงแบรนด์
การนับจำนวนการกล่าวถึงแบรนด์ (Brand Reference Count) เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญนอกเหนือจากการเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม โดยจะนับจำนวนครั้งที่แบรนด์ถูกพูดถึงผ่าน @mentions, แฮชแท็ก หรือคอมเมนต์ ซึ่งแสดงถึงระดับการรับรู้และการมีส่วนร่วมจากผู้ชม
วิธีติดตามและเพิ่มจำนวนการกล่าวถึงแบรนด์
- ใช้เครื่องมือ Social Listening
- ติดตามการพูดถึงแบรนด์ในแต่ละแพลตฟอร์ม
- วิเคราะห์แนวโน้มและรูปแบบการพูดถึง เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ชม
- สร้างแฮชแท็กเฉพาะสำหรับแคมเปญ
- คิดชื่อแฮชแท็กที่จำง่ายและมีความโดดเด่น
- กระตุ้นให้อินฟลูเอนเซอร์และผู้ติดตามใช้แฮชแท็กนี้
- วิเคราะห์ผลและปรับกลยุทธ์
- เปรียบเทียบการกล่าวถึงแบบออแกนิกกับแบบโปรโมต
- ใช้ข้อมูลที่ได้มาปรับงบประมาณและแผนการตลาดให้เหมาะสม
VenueE Performance Marketing มีระบบติดตามการกล่าวถึงแบรนด์แบบเรียลไทม์ พร้อมรายงานเชิงลึกที่ช่วยให้ธุรกิจ SME ปรับแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนถัดไป เราจะพูดถึง Brand Sentiment Metrics ซึ่งเป็นการวัดความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์
9. การวัดความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์ (Brand Sentiment Metrics)
การวัดความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์ไม่ได้หยุดแค่การนับจำนวนครั้งที่มีการกล่าวถึง แต่ยังช่วยให้เข้าใจว่าผู้บริโภครู้สึกอย่างไรกับแบรนด์ของคุณ
Brand Sentiment Metrics คือการประเมินความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ โดยใช้ข้อมูลจากคอมเมนต์ รีวิว และโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย
วิธีการวัดและวิเคราะห์
การติดตามความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์สามารถทำได้ด้วยเครื่องมือและวิธีการดังนี้:
- Social Listening Tools: ใช้เพื่อติดตามบทสนทนาและความคิดเห็นที่เกี่ยวกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย
- Sentiment Analysis: ระบบที่ช่วยแยกแยะข้อความเชิงบวกและเชิงลบจากผู้บริโภค
- Sentiment Score: ใช้คะแนนนี้เพื่อตรวจสอบแนวโน้มความรู้สึกในระยะยาว
การรักษาความรู้สึกเชิงบวกต่อแบรนด์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และยังช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในระยะยาว
แนวทางปรับปรุงความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์
- ส่งเสริมเนื้อหาจากผู้ใช้จริง (UGC): กระตุ้นให้ผู้บริโภคสร้างรีวิวเชิงบวกผ่านแคมเปญที่น่าสนใจ
- ตอบกลับอย่างรวดเร็วและสร้างสรรค์: การตอบสนองต่อคอมเมนต์หรือข้อร้องเรียนช่วยสร้างความประทับใจ
- วิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง: ใช้ข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อรักษาความรู้สึกเชิงบวก
ในหัวข้อถัดไป เราจะพูดถึง Content Guidelines Adherence ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการตรวจสอบคุณภาพโพสต์จากอินฟลูเอนเซอร์
10. การปฏิบัติตามแนวทางการสร้างเนื้อหา (Content Guidelines Adherence)
เมื่อประเมินผลในเชิงปริมาณเสร็จแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหาให้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
เนื้อหาจากอินฟลูเอนเซอร์ควรสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ และสอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญที่วางไว้
องค์ประกอบสำคัญในการประเมิน
- ความสอดคล้องกับแบรนด์: เนื้อหาต้องใช้โทนเสียง ภาษา และรูปแบบที่เหมาะสมกับแบรนด์
- ความถูกต้องของข้อมูล: ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการต้องเป็นปัจจุบันและไม่มีข้อผิดพลาด
วิธีตรวจสอบและปรับปรุง
- ตั้งเป้าหมายและงบประมาณร่วมกัน: ทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อกำหนดทิศทางตั้งแต่เริ่มต้น
- ติดตามผลแบบเรียลไทม์: ใช้ข้อมูลที่ได้จากแคมเปญเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมทันที
ภาพรวมการวัดผล KPI
การเข้าใจและใช้งาน KPI แต่ละตัวอย่างเหมาะสมช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์และปรับปรุงแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือแนวทางภาพรวมและวิธีการใช้งานร่วมกันของ KPI
วิธีใช้งาน KPI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ระยะสั้น: ติดตามตัวชี้วัดอย่าง Reach, Engagement และ CTR เพื่อปรับเปลี่ยนเนื้อหาได้ทันทีตามสถานการณ์
- ระยะยาว: ใช้ตัวชี้วัดอย่าง Brand Sentiment, การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดตาม และความสอดคล้องของเนื้อหา เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ในภาพรวม
การเชื่อมโยงและปรับใช้ KPI
การรวมข้อมูลจากหลายตัวชี้วัด เช่น การเปรียบเทียบ Engagement Rate กับ Conversion Rate ช่วยระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และกำหนดเป้าหมายเฉพาะสำหรับแต่ละด้าน การติดตามผลอย่างต่อเนื่องและปรับเกณฑ์วัดผลให้เหมาะกับลักษณะของแคมเปญจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น
สิ่งที่ควรพิจารณา
- กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับแต่ละ KPI
- ปรับเกณฑ์การวัดผลให้เข้ากับประเภทและเป้าหมายของแคมเปญ
- ติดตามผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อการปรับปรุงที่รวดเร็วและเหมาะสม
สรุป
KPI ทั้ง 10 ตัวเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ SME ในไทยสามารถวัด ROI ได้อย่างแม่นยำ ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และจัดสรรงบประมาณโดยอิงจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การเลือก KPI ที่เหมาะสม การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการเลือกอินฟลูเอนเซอร์และเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะการวัดผลไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวเลข แต่ยังต้องนำไปสู่ความเข้าใจเชิงลึกที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย
