Published Apr 18, 2025 ⦁ 3 min read

เรียนรู้การวัดผลการตลาด Influencer Marketing ด้วย 10 KPI สำคัญเพื่อปรับกลยุทธ์และเพิ่ม ROI อย่างมีประสิทธิภาพ.

10 KPI วัดผล Influencer Marketing

10 KPI วัดผล Influencer Marketing

การวัดผลแคมเปญ Influencer Marketing ให้ได้ผลดีที่สุดต้องติดตาม 10 KPI สำคัญ ที่ช่วยประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และปรับกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ:

  • Total Reach: จำนวนคนที่เห็นเนื้อหา
  • Total Impressions: จำนวนครั้งที่เนื้อหาปรากฏ (รวมการเห็นซ้ำ)
  • Engagement Metrics: การตอบสนอง เช่น Like, Comment, Share
  • Click Rate (CTR): อัตราการคลิกจากการแสดงผล
  • Sales Conversion: ยอดขายที่เกิดจากแคมเปญ
  • Website Traffic: ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น ผู้เข้าชมใหม่, ระยะเวลาเฉลี่ย
  • Follower Growth: การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดตาม
  • Brand Mentions: การกล่าวถึงแบรนด์ผ่าน @mentions หรือแฮชแท็ก
  • Brand Sentiment: ความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์
  • Content Adherence: ความสอดคล้องของเนื้อหากับภาพลักษณ์แบรนด์

การใช้ KPI เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจติดตามผลได้ชัดเจน และปรับปรุงแคมเปญได้ทันทีเพื่อเพิ่ม ROI

Influencer Marketing EP.10 เลือก Metrics วัดผลการตลาดดิจิทัล ...

1. Total Reach

Total Reach หมายถึงจำนวนผู้ชมที่ได้เห็นเนื้อหาจากอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของกลุ่มเป้าหมายที่สามารถเข้าถึงแคมเปญได้จริง

วิธีเพิ่ม Total Reach

  • สร้างเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย พร้อมใช้แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นพบ
  • ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์เพิ่มเติม เพื่อขยายการเข้าถึงไปยังกลุ่มผู้ชมใหม่
  • ติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่แท้จริง

ในหัวข้อต่อไป เราจะพูดถึง Total Impressions ซึ่งช่วยบอกถึงความถี่ที่ผู้ชมเห็นเนื้อหาซ้ำกัน.

2. Total Impressions

Total Impressions หมายถึงจำนวนครั้งที่เนื้อหาของคุณถูกแสดง ไม่ว่าจะเป็นการเห็นซ้ำหรือไม่ ต่างจาก Total Reach ซึ่งนับเฉพาะจำนวนผู้ชมที่ไม่ซ้ำกัน

การวัดและวิเคราะห์ Total Impressions

การทำความเข้าใจ Total Impressions สามารถมองได้จาก 3 มุมมองหลัก:

  • ความถี่ในการเห็นเนื้อหา
    ความถี่นี้สามารถคำนวณได้จากสูตร:
    Total Impressions ÷ Total Reach = ความถี่เฉลี่ยที่แต่ละคนเห็นเนื้อหา
    ตัวเลขนี้ช่วยให้คุณประเมินได้ว่าเนื้อหาถูกแสดงซ้ำมากน้อยเพียงใดต่อผู้ชมแต่ละคน
  • การกระจายของ Impressions
    วิเคราะห์ว่า Impressions กระจายตัวในช่วงเวลาใดบ้าง เช่น ช่วงที่เนื้อหามีประสิทธิภาพสูงสุดหรือช่วงที่กลุ่มเป้าหมายใช้งานแพลตฟอร์มมากที่สุด
    การติดตามนี้ช่วยให้คุณสามารถวางแผนการโพสต์ได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
  • คุณภาพของ Impressions
    ดูข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลประชากร พฤติกรรมการมีส่วนร่วม และอัตราคลิก (CTR) เพื่อประเมินว่าการแสดงผลนั้นมีผลต่อเป้าหมายของคุณหรือไม่

เคล็ดลับในการปรับปรุง Total Impressions

  • โพสต์ในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายของคุณออนไลน์มากที่สุด
  • สร้างเนื้อหาที่ดึงดูด พร้อมใช้แฮชแท็กหรือคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มการมองเห็น
  • เน้นกระตุ้น Engagement ด้วยคำถามหรือเนื้อหาที่กระตุ้นการโต้ตอบ

ถัดไป เราจะมาดูตัวชี้วัด KPI Engagement Metrics เพื่อวัดการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึกยิ่งขึ้น

3. Engagement Metrics

หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Total Impressions แล้ว มาดูที่ Engagement Metrics ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึก

Engagement Metrics ประกอบด้วย Like/React, Comment และ Share ซึ่งช่วยสะท้อนคุณภาพของการมีส่วนร่วม:

  • Like/React: แสดงถึงความรู้สึกเชิงบวกหรือการตอบสนองต่อโพสต์
  • Comment: บ่งบอกถึงความสนใจหรือความตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมกับเนื้อหา
  • Share: ชี้ให้เห็นว่าผู้ติดตามต้องการแบ่งปันเนื้อหาไปยังคนอื่น

ข้อมูลจาก Engagement Metrics นี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มความสนใจของผู้ติดตาม และนำไปปรับปรุงกลยุทธ์ เช่น การตั้งคำถามที่กระตุ้นความคิดเห็น การตอบกลับที่สม่ำเสมอ และการสร้างบทสนทนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว

ในหัวข้อต่อไป เราจะพูดถึง Click Rate Analysis ซึ่งเป็นการวิเคราะห์อัตราการคลิกจากจำนวนผู้ที่เห็นเนื้อหา

4. การวิเคราะห์อัตราการคลิก (Click Rate Analysis)

หลังจากประเมิน Engagement Metrics แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเจาะลึกไปที่การวิเคราะห์อัตราการคลิก (Click Rate Analysis) เพื่อวัดผลและปรับปรุงแคมเปญ Influencer Marketing ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น.

การวัดอัตราการคลิก (CTR) และพฤติกรรมผู้ชม

การวิเคราะห์นี้แบ่งเป็นสองส่วนหลัก:

  • CTR (Click-Through Rate)
    คำนวณจากสูตร:
    CTR = (จำนวนคลิก ÷ จำนวนการแสดงผล) × 100
    ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์สามารถดึงดูดผู้ชมให้คลิกได้มากน้อยแค่ไหน และช่วยประเมินว่าทราฟฟิกที่ได้สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสทางธุรกิจได้หรือไม่
  • การวิเคราะห์ปลายทางคลิก
    ติดตามพฤติกรรมของผู้ชมเมื่อพวกเขาไปถึงหน้าเว็บปลายทาง เพื่อเข้าใจว่าพวกเขาสนใจอะไรและตอบสนองต่อเนื้อหาอย่างไร

วิธีปรับปรุงอัตราการคลิก

  • ใช้ UTM Parameters
    เพื่อติดตามว่าแหล่งที่มาหรือช่องทางใดสร้าง CTR ได้ดีที่สุด
  • ทดสอบ A/B สำหรับ CTA
    ทดลองข้อความหรือดีไซน์ Call-to-Action (CTA) ที่หลากหลาย เพื่อค้นหาสิ่งที่กระตุ้นการคลิกได้ดีที่สุด

5. การติดตามยอดขายและการเปลี่ยนแปลงเป็นลูกค้า

เมื่อรู้ว่าอัตราการคลิกเป็นอย่างไร ขั้นตอนต่อไปคือการเปลี่ยนทราฟฟิกเหล่านั้นให้กลายเป็นยอดขายจริง

Sales Conversion Tracking ช่วยให้คุณสามารถวัด ROI จากยอดขายที่เกิดขึ้นผ่านแคมเปญ Influencer Marketing ได้โดยตรง

เพื่อให้การติดตามยอดขายมีประสิทธิภาพ ลองทำตามวิธีเหล่านี้:

  • ใช้ UTM parameter, โค้ดส่วนลด หรือ affiliate link เพื่อตรวจสอบว่ายอดขายมาจากอินฟลูเอนเซอร์คนไหน
  • ติดตามยอดขายเป็นรายสัปดาห์ และเปรียบเทียบระหว่างช่วงก่อนและหลังแคมเปญ
  • ปรับข้อความ CTA หรือเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ในโฆษณา หากผลลัพธ์ยอดขายยังไม่เป็นไปตามที่คาด

VenueE Performance Marketing มีระบบ Sales Tracking บนบัญชีธุรกิจ ที่ช่วยธุรกิจ SME ติดตามยอดขายแบบเรียลไทม์ พร้อมรายงานผลอย่างโปร่งใส

ขั้นตอนถัดไป เราจะมาวิเคราะห์ Website Traffic Data เพื่อเข้าใจเส้นทางการซื้อของลูกค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

sbb-itb-4ffe5b5

6. ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์

มาดู ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมและการตอบสนองของผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านแคมเปญ Influencer Marketing ได้ดียิ่งขึ้น

ตัวชี้วัดที่ควรติดตาม

  • จำนวนผู้เข้าชมใหม่: ช่วยวัดการดึงดูดผู้ชมหน้าใหม่จากแคมเปญ
  • ระยะเวลาเฉลี่ยบนเว็บไซต์: บ่งบอกว่าผู้เข้าชมสนใจเนื้อหาเพียงใด
  • อัตราการออก: ใช้ประเมินว่าผู้ชมออกจากเว็บไซต์เร็วแค่ไหน
  • เส้นทางการเข้าชม: แสดงว่าผู้ใช้มาจากช่องทางใดและเดินทางในเว็บไซต์อย่างไร

วิธีติดตามข้อมูลทราฟฟิกอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ติดตั้ง Google Analytics: เตรียมพร้อมระบบวิเคราะห์ข้อมูลก่อนเริ่มแคมเปญ
  • ตั้งค่า UTM Parameter: แยกตามอินฟลูเอนเซอร์เพื่อวัดผลได้ชัดเจน
  • เปรียบเทียบข้อมูล: ดูความแตกต่างระหว่างก่อนและระหว่างแคมเปญ
  • วิเคราะห์หน้าเพจยอดนิยม: ระบุจุดที่ผู้ใช้หยุดโต้ตอบและปรับ Call-to-Action (CTA) ให้เหมาะสม

VenueE Performance Marketing มีบริการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลทราฟฟิกเว็บไซต์ พร้อมระบบรายงานที่ชัดเจนและโปร่งใส ช่วยธุรกิจ SME ปรับปรุงแคมเปญได้อย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)

ในส่วนถัดไป เราจะพูดถึง การเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้ติดตาม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของฐานผู้ชมของคุณ

7. การเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้ติดตาม

การวิเคราะห์ทราฟฟิกสามารถนำไปต่อยอดเพื่อดูการเติบโตของจำนวนผู้ติดตามได้ การติดตามตัวเลขนี้ถือเป็น KPI สำคัญ ที่ช่วยประเมินผลของแคมเปญ Influencer Marketing ต่อการสร้างการรับรู้และขยายฐานผู้ติดตามของแบรนด์

วิธีวัดผลที่ชัดเจน

เริ่มต้นด้วยการบันทึกจำนวนผู้ติดตามก่อนเริ่มแคมเปญ จากนั้นติดตามผลรายวันระหว่างแคมเปญและต่อเนื่องอีก 30 วันหลังแคมเปญสิ้นสุด

การประเมินคุณภาพของผู้ติดตาม

ไม่ใช่แค่จำนวนผู้ติดตามเท่านั้นที่สำคัญ แต่คุณภาพของผู้ติดตามก็เป็นปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา:

  • ตรวจสอบบัญชีปลอม: ตรวจสอบว่าผู้ติดตามใหม่ไม่ใช่บัญชีปลอมหรือบอท
  • การมีส่วนร่วม: พิจารณาว่าผู้ติดตามใหม่มีการโต้ตอบกับเนื้อหาหรือไม่
  • ตรงกลุ่มเป้าหมาย: วิเคราะห์ว่าผู้ติดตามใหม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดหรือไม่

ใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงแคมเปญ

ข้อมูลที่ได้สามารถนำมาใช้ปรับปรุงแคมเปญได้ในหลายแง่มุม เช่น:

  • เปรียบเทียบอัตราการเติบโตกับงบประมาณที่ใช้
  • วิเคราะห์ช่วงเวลาที่จำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมากที่สุด
  • ระบุเนื้อหาที่สร้างความสนใจและดึงดูดผู้ติดตามได้ดีที่สุด
  • ปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้เหมาะสมตามข้อมูลเชิงลึก

VenueE Performance Marketing ช่วยให้ธุรกิจ SME ติดตามการเติบโตของผู้ติดตามแบบเรียลไทม์ พร้อมรายงานเชิงลึกที่ช่วยปรับแคมเปญได้ทันที

8. การนับจำนวนการกล่าวถึงแบรนด์

การนับจำนวนการกล่าวถึงแบรนด์ (Brand Reference Count) เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญนอกเหนือจากการเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม โดยจะนับจำนวนครั้งที่แบรนด์ถูกพูดถึงผ่าน @mentions, แฮชแท็ก หรือคอมเมนต์ ซึ่งแสดงถึงระดับการรับรู้และการมีส่วนร่วมจากผู้ชม

วิธีติดตามและเพิ่มจำนวนการกล่าวถึงแบรนด์

  • ใช้เครื่องมือ Social Listening
    • ติดตามการพูดถึงแบรนด์ในแต่ละแพลตฟอร์ม
    • วิเคราะห์แนวโน้มและรูปแบบการพูดถึง เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ชม
  • สร้างแฮชแท็กเฉพาะสำหรับแคมเปญ
    • คิดชื่อแฮชแท็กที่จำง่ายและมีความโดดเด่น
    • กระตุ้นให้อินฟลูเอนเซอร์และผู้ติดตามใช้แฮชแท็กนี้
  • วิเคราะห์ผลและปรับกลยุทธ์
    • เปรียบเทียบการกล่าวถึงแบบออแกนิกกับแบบโปรโมต
    • ใช้ข้อมูลที่ได้มาปรับงบประมาณและแผนการตลาดให้เหมาะสม

VenueE Performance Marketing มีระบบติดตามการกล่าวถึงแบรนด์แบบเรียลไทม์ พร้อมรายงานเชิงลึกที่ช่วยให้ธุรกิจ SME ปรับแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนถัดไป เราจะพูดถึง Brand Sentiment Metrics ซึ่งเป็นการวัดความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์

9. การวัดความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์ (Brand Sentiment Metrics)

การวัดความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์ไม่ได้หยุดแค่การนับจำนวนครั้งที่มีการกล่าวถึง แต่ยังช่วยให้เข้าใจว่าผู้บริโภครู้สึกอย่างไรกับแบรนด์ของคุณ

Brand Sentiment Metrics คือการประเมินความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ โดยใช้ข้อมูลจากคอมเมนต์ รีวิว และโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย

วิธีการวัดและวิเคราะห์

การติดตามความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์สามารถทำได้ด้วยเครื่องมือและวิธีการดังนี้:

  • Social Listening Tools: ใช้เพื่อติดตามบทสนทนาและความคิดเห็นที่เกี่ยวกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย
  • Sentiment Analysis: ระบบที่ช่วยแยกแยะข้อความเชิงบวกและเชิงลบจากผู้บริโภค
  • Sentiment Score: ใช้คะแนนนี้เพื่อตรวจสอบแนวโน้มความรู้สึกในระยะยาว

การรักษาความรู้สึกเชิงบวกต่อแบรนด์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และยังช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในระยะยาว

แนวทางปรับปรุงความรู้สึกเกี่ยวกับแบรนด์

  • ส่งเสริมเนื้อหาจากผู้ใช้จริง (UGC): กระตุ้นให้ผู้บริโภคสร้างรีวิวเชิงบวกผ่านแคมเปญที่น่าสนใจ
  • ตอบกลับอย่างรวดเร็วและสร้างสรรค์: การตอบสนองต่อคอมเมนต์หรือข้อร้องเรียนช่วยสร้างความประทับใจ
  • วิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง: ใช้ข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อรักษาความรู้สึกเชิงบวก

ในหัวข้อถัดไป เราจะพูดถึง Content Guidelines Adherence ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการตรวจสอบคุณภาพโพสต์จากอินฟลูเอนเซอร์

10. การปฏิบัติตามแนวทางการสร้างเนื้อหา (Content Guidelines Adherence)

เมื่อประเมินผลในเชิงปริมาณเสร็จแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหาให้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

เนื้อหาจากอินฟลูเอนเซอร์ควรสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ และสอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญที่วางไว้

องค์ประกอบสำคัญในการประเมิน

  • ความสอดคล้องกับแบรนด์: เนื้อหาต้องใช้โทนเสียง ภาษา และรูปแบบที่เหมาะสมกับแบรนด์
  • ความถูกต้องของข้อมูล: ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการต้องเป็นปัจจุบันและไม่มีข้อผิดพลาด

วิธีตรวจสอบและปรับปรุง

  • ตั้งเป้าหมายและงบประมาณร่วมกัน: ทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อกำหนดทิศทางตั้งแต่เริ่มต้น
  • ติดตามผลแบบเรียลไทม์: ใช้ข้อมูลที่ได้จากแคมเปญเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมทันที

ภาพรวมการวัดผล KPI

การเข้าใจและใช้งาน KPI แต่ละตัวอย่างเหมาะสมช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์และปรับปรุงแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือแนวทางภาพรวมและวิธีการใช้งานร่วมกันของ KPI

วิธีใช้งาน KPI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

  • ระยะสั้น: ติดตามตัวชี้วัดอย่าง Reach, Engagement และ CTR เพื่อปรับเปลี่ยนเนื้อหาได้ทันทีตามสถานการณ์
  • ระยะยาว: ใช้ตัวชี้วัดอย่าง Brand Sentiment, การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดตาม และความสอดคล้องของเนื้อหา เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ในภาพรวม

การเชื่อมโยงและปรับใช้ KPI

การรวมข้อมูลจากหลายตัวชี้วัด เช่น การเปรียบเทียบ Engagement Rate กับ Conversion Rate ช่วยระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และกำหนดเป้าหมายเฉพาะสำหรับแต่ละด้าน การติดตามผลอย่างต่อเนื่องและปรับเกณฑ์วัดผลให้เหมาะกับลักษณะของแคมเปญจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น

สิ่งที่ควรพิจารณา

  • กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับแต่ละ KPI
  • ปรับเกณฑ์การวัดผลให้เข้ากับประเภทและเป้าหมายของแคมเปญ
  • ติดตามผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อการปรับปรุงที่รวดเร็วและเหมาะสม

สรุป

KPI ทั้ง 10 ตัวเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ SME ในไทยสามารถวัด ROI ได้อย่างแม่นยำ ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และจัดสรรงบประมาณโดยอิงจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การเลือก KPI ที่เหมาะสม การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการเลือกอินฟลูเอนเซอร์และเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะการวัดผลไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวเลข แต่ยังต้องนำไปสู่ความเข้าใจเชิงลึกที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ