Published Apr 13, 2025 ⦁ 4 min read

CPL และ CPA สองกลยุทธ์การตลาดที่เจ้าของธุรกิจควรเข้าใจเพื่อทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

CPL vs CPA: ความแตกต่างที่เจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจเมื่อทำงานกับ Performance Marketing Agency

CPL vs CPA: ความแตกต่างที่เจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจเมื่อทำงานกับ Performance Marketing Agency

CPL (Cost Per Lead) และ CPA (Cost Per Acquisition) เป็นตัวชี้วัดสำคัญใน Performance Marketing ที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม:

  • CPL: เน้นต้นทุนในการได้มาซึ่งลีด (ผู้สนใจสินค้า/บริการ) เช่น อีเมล เบอร์โทร
    • เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการสร้างฐานลูกค้า เช่น อสังหาริมทรัพย์ ประกัน
    • สูตร: CPL = งบโฆษณา ÷ จำนวนลีด
    • ตัวอย่าง: ใช้งบ 50,000 บาท ได้ลีด 100 ราย → CPL = 500 บาทต่อลีด
  • CPA: เน้นต้นทุนต่อการกระทำที่มีคุณค่า เช่น การซื้อสินค้า
    • เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการยอดขายทันที เช่น E-commerce
    • สูตร: CPA = งบโฆษณา ÷ จำนวนธุรกรรม
    • ตัวอย่าง: ใช้งบ 200,000 บาท ได้ 400 ออเดอร์ → CPA = 500 บาทต่อออเดอร์

Quick Comparison

ปัจจัย CPL CPA
เป้าหมาย ได้ข้อมูลผู้สนใจ ได้ยอดขายหรือการกระทำที่ชัดเจน
ราคาต่อหน่วย ต่ำกว่า (หลักสิบถึงพันบาท) สูงกว่า (หลักร้อยถึงหมื่นบาท)
ระยะเวลาเห็นผล ระยะกลางถึงยาว ระยะสั้น
เหมาะกับธุรกิจ สินค้ามูลค่าสูง, ความสัมพันธ์ยาวนาน ธุรกิจต้องการผลลัพธ์ทันที

เลือก CPL หากคุณต้องการสร้างฐานลูกค้าเพื่ออนาคต และ CPA หากคุณต้องการยอดขายทันที!

The Digital Marketing Growth Equation: CPL, CAC, & LTV ...

พื้นฐานของ CPL และ CPA

การเข้าใจพื้นฐานของ CPL และ CPA มีความสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการประเมินผลการทำ Performance Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ รายละเอียดเกี่ยวกับ CPL และ CPA มีดังนี้

CPL คืออะไร และคำนวณอย่างไร

Cost Per Lead (CPL) หมายถึง ต้นทุนต่อลีด หรือผู้ที่แสดงความสนใจผ่านการให้ข้อมูลติดต่อ เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์

สูตรการคำนวณ CPL
CPL = งบโฆษณาทั้งหมด ÷ จำนวนลีดที่ได้รับ
ตัวอย่าง: หากใช้งบโฆษณา 50,000 บาท และได้รับลีด 100 ราย CPL จะเท่ากับ 500 บาทต่อลีด

รูปแบบการลงทะเบียนของ CPL
การลงทะเบียนในโมเดล CPL มี 2 แบบ:

  • Single Opt-in (SOI): ผู้สนใจลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว
  • Double Opt-in (DOI): ผู้ลงทะเบียนต้องยืนยันการสมัครอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของลีด

ในทางกลับกัน CPA วัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการเปลี่ยนแปลง

CPA คืออะไร และคำนวณอย่างไร

Cost Per Acquisition (CPA) คือ ต้นทุนในการได้มาซึ่งการกระทำที่มีคุณค่า เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

สูตรการคำนวณ CPA
CPA = งบประมาณการตลาด ÷ จำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้น

ตารางเปรียบเทียบ CPL และ CPA

หัวข้อ CPL CPA
เป้าหมาย ได้ข้อมูลผู้สนใจสินค้า/บริการ ได้การทำธุรกรรมที่ต้องการ
ราคาต่อหน่วย ตั้งแต่หลักสิบถึงหลักพันบาท ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหมื่นบาท
ความเสี่ยง ต่ำกว่า เพราะจ่ายเมื่อได้ลีด สูงกว่า เพราะต้องรอการทำธุรกรรม
เหมาะกับ ธุรกิจที่ต้องการสร้างฐานลูกค้า ธุรกิจที่ต้องการยอดขายทันที

CPL vs CPA: ความแตกต่างหลัก

การเลือกใช้ CPL หรือ CPA มีผลต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจและการวางแผนแคมเปญของคุณอย่างมาก

CPL เน้นการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าที่มีคุณภาพและช่วยให้แบรนด์สามารถควบคุมภาพลักษณ์ได้ดีขึ้น ในขณะที่ CPA มุ่งเน้นไปที่การสร้างยอดขาย โดยลดความเสี่ยงจากผู้เข้าชมที่ไม่เกิดการแปลงเป็นลูกค้า.

เปรียบเทียบ CPL และ CPA

หัวข้อ CPL CPA
ระยะเวลาในการเห็นผล ระยะกลางถึงยาว ระยะสั้น
การวัดผลสำเร็จ จำนวนลีดที่ได้มา จำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้น
เหมาะกับธุรกิจประเภทใด บริการสมาชิกหรือสินค้ามูลค่าสูง ธุรกิจที่ต้องการยอดขายทันที
ตำแหน่งในกระบวนการซื้อ ช่วงกลางถึงล่างของฟันเนล ล่างสุดของฟันเนล
วิธีติดตามผล ต้องมีระบบจัดการลีด ดูผลลัพธ์ได้ทันที
ระยะเวลาโฆษณา ไม่จำกัด ไม่จำกัด

ข้อมูลในตารางนี้แสดงให้เห็นว่าแต่ละโมเดลส่งผลต่อการกำหนดงบประมาณและการวัดผลแคมเปญอย่างไร

"ในขณะที่ CPA มุ่งเน้นไปที่ยอดขายและรายได้ CPL มุ่งเป้าไปที่การสร้างลีดซึ่งอาจนำไปสู่การขายในอนาคต" - Gyanendra N. Pati, Marketing Practices Blog

ธุรกิจไทยควรเลือกแบบใด?

  • CPL: เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น ประกันชีวิต หรืออสังหาริมทรัพย์
  • CPA: เหมาะกับธุรกิจที่มีกระบวนการตัดสินใจซื้อง่ายและเร็ว เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค หรือบริการออนไลน์

ความแตกต่างนี้ส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์การใช้งบประมาณและการวัดผลของแคมเปญ ซึ่งจะมีการอธิบายเพิ่มเติมในส่วนถัดไป.

sbb-itb-4ffe5b5

ROI และผลกระทบต่อแคมเปญ

CPL และ CPA มีบทบาทสำคัญต่อ ROI และการวางแผนแคมเปญ ทั้งสองโมเดลนี้มีวิธีประเมินประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

การวางแผนงบประมาณ

สำหรับแคมเปญ Performance Marketing การวางแผนงบประมาณควรสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ โดยแต่ละโมเดลมีวิธีคำนวณงบประมาณที่แตกต่างกัน:

ปัจจัยด้านงบประมาณ CPL CPA
การคำนวณงบประมาณ งบประมาณรวม ÷ จำนวนลีด งบประมาณรวม ÷ จำนวนการซื้อ

นอกจากการคำนวณงบประมาณ การเลือกเครื่องมือวัดผลที่เหมาะสมก็ส่งผลโดยตรงต่อ ROI

เครื่องมือวัดผล

เครื่องมือสำหรับ CPL

เพื่อประเมินคุณภาพของลีดและความเป็นไปได้ในการปิดการขาย ระบบควรสามารถ:

  • ติดตามแหล่งที่มาของลีด
  • วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน
  • ประเมินคุณภาพของลีด
  • วัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของลีด

เครื่องมือสำหรับ CPA

ระบบติดตาม CPA ต้องสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการซื้อกับแหล่งที่มาได้อย่างแม่นยำ โดยควรมีความสามารถในการ:

  • ติดตามการทำธุรกรรม
  • วิเคราะห์เส้นทางการซื้อของลูกค้า
  • คำนวณมูลค่าตลอดอายุของลูกค้า
  • วัดผล ROI แบบเรียลไทม์

การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมช่วยปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับธุรกิจในประเทศไทย การใช้เครื่องมือที่ตอบโจทย์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้าง ROI ที่ดีในระยะยาวและสนับสนุนการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้นในอนาคต

กรณีศึกษาธุรกิจไทย

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง CPL (Cost Per Lead) และ CPA (Cost Per Acquisition) ผ่านตัวอย่างจริงช่วยให้เห็นภาพการใช้งานที่ชัดเจนขึ้น ด้านล่างนี้คือตัวอย่างการนำ CPL และ CPA ไปปรับใช้ในธุรกิจไทย

ตัวอย่างแคมเปญ CPL

บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตั้งเป้าหมายรวบรวมข้อมูลผู้สนใจสำหรับคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านรัชดา โดยโฟกัสที่กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อจริง แคมเปญนี้มีรายละเอียดดังนี้:

  • งบประมาณ: 150,000 บาทต่อเดือน
  • ระยะเวลา: 3 เดือน (มกราคม-มีนาคม 2025)
  • เป้าหมาย: 300 ลีดต่อเดือน
  • CPL เป้าหมาย: 500 บาทต่อลีด

ผลลัพธ์:

  • จำนวนลีดทั้งหมด: 1,150 ลีด
  • CPL เฉลี่ย: 391 บาท
  • อัตราการนัดดูโครงการ: 35%
  • อัตราการจอง: 12%

ตัวอย่างแคมเปญ CPA

ร้านค้าออนไลน์ขายเครื่องสำอางแบรนด์ไทยต้องการเพิ่มยอดขายผ่านเว็บไซต์ โดยเน้นวัดผลจากยอดขายจริง รายละเอียดแคมเปญมีดังนี้:

  • งบประมาณ: 200,000 บาทต่อเดือน
  • ระยะเวลา: 2 เดือน (กุมภาพันธ์-มีนาคม 2025)
  • เป้าหมาย: 400 ออเดอร์ต่อเดือน
  • CPA เป้าหมาย: 500 บาทต่อออเดอร์

ผลลัพธ์:

  • จำนวนออเดอร์: 890 ออเดอร์
  • CPA เฉลี่ย: 449 บาท
  • มูลค่าเฉลี่ยต่อออเดอร์: 1,850 บาท
  • อัตราการกลับมาซื้อซ้ำ: 28%
ตัวชี้วัด แคมเปญ CPL แคมเปญ CPA
ROI 215% 312%
ระยะเวลาปิดการขาย 15-30 วัน 1-3 วัน
ความเสี่ยง ปานกลาง ต่ำ
การติดตามผล ใช้ระบบ CRM ติดตามผ่าน Analytics

ตารางนี้แสดงความแตกต่างระหว่างการติดตามผลและประสิทธิภาพของแต่ละแคมเปญ

จากกรณีศึกษาทั้งสองนี้ เห็นได้ว่าการเลือกใช้ CPL หรือ CPA ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและเป้าหมายทางการตลาด หากธุรกิจมีมูลค่าสินค้าสูงและต้องการเวลาในการตัดสินใจ CPL อาจเหมาะสมกว่า แต่สำหรับธุรกิจ E-commerce ที่ต้องการยอดขายทันที CPA จะตอบโจทย์มากกว่า

การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสม

เกณฑ์การตัดสินใจ

การเลือกระหว่าง CPL (Cost Per Lead) และ CPA (Cost Per Action) ควรขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแคมเปญ ผลลัพธ์ที่ต้องการ และลักษณะของธุรกิจคุณ ตารางด้านล่างแสดงความแตกต่างที่สำคัญ:

ปัจจัย CPL CPA
วัตถุประสงค์ เน้นสร้างลีดเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาว กระตุ้นการกระทำที่ชัดเจน เช่น การสั่งซื้อ
ประเภทธุรกิจ เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างการติดต่อและมีระยะเวลาตัดสินใจนาน เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ทันที
ระบบติดตามผล ใช้ CRM ในการบริหารลีด ใช้ระบบ Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมการกระทำ

เมื่อพิจารณาผลกระทบต่อ ROI และเครื่องมือวัดผลที่เหมาะสม คุณสามารถเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะกับบริบทของตลาดไทยได้ดังนี้

แนวทางสำหรับตลาดไทย

สำหรับตลาดในประเทศไทย การเลือกใช้ CPL หรือ CPA ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและเป้าหมาย เช่น:

  • ธุรกิจที่เน้นสร้างความสัมพันธ์: เหมาะสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การเงิน การศึกษา หรือ B2B ที่มุ่งเน้นการดาวน์โหลดโบรชัวร์ การลงทะเบียน หรือการสมัครรับข่าวสาร
  • ธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ทันที: เช่น ร้านค้าออนไลน์ แอปพลิเคชัน หรือบริการสมาชิก โดยวัดผลจากยอดซื้อหรือการดาวน์โหลด

เริ่มต้นด้วยการทดลองแคมเปญขนาดเล็กเพื่อเก็บข้อมูลและปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสม

ปัจจัยที่ควรคำนึงถึงเพิ่มเติม:

  • เป้าหมายของแคมเปญและผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • ความเข้าใจและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
  • ความพร้อมของระบบติดตามผลที่มีอยู่

ธุรกิจอาจเลือกใช้ทั้ง CPL และ CPA พร้อมกันเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพ และปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามข้อมูลที่ได้รับจากแต่ละแคมเปญ

สรุป

การเลือกใช้ระหว่าง CPL (Cost Per Lead) และ CPA (Cost Per Acquisition) มีผลต่อความสำเร็จของแคมเปญการตลาดในประเทศไทยอย่างมาก CPL เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างฐานลูกค้าใหม่และสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว ในขณะที่ CPA ตอบโจทย์ธุรกิจที่เน้นผลลัพธ์ที่วัดผลได้ทันที ทั้งสองโมเดลมีผลต่อกลยุทธ์และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

ข้อมูลจากตลาดแสดงให้เห็นว่า ลูกค้าที่ได้มาจากแคมเปญ CPL มีแนวโน้มกลับมาใช้บริการซ้ำมากกว่าลูกค้าจากแคมเปญประเภทอื่น.

การทำงานร่วมกับ Performance Marketing Agency ช่วยให้ธุรกิจ:

  • วางแผนงบประมาณการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างแม่นยำ
  • เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)

ในตลาดไทยที่มีการแข่งขันสูง การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมระหว่าง CPL และ CPA เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างความได้เปรียบทางการตลาดและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การปรับใช้แนวทางเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจที่มั่นใจและมีประสิทธิภาพในทุกแคมเปญ.

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ