Published Apr 24, 2025 ⦁ 3 min read

เรียนรู้ 7 องค์ประกอบสำคัญในการสร้างเซลเพจ B2B ที่ช่วยเพิ่ม ROI และสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจของคุณ.

เซลเพจสำหรับธุรกิจ B2B: 7 องค์ประกอบสำคัญที่ต้องมี

เซลเพจสำหรับธุรกิจ B2B: 7 องค์ประกอบสำคัญที่ต้องมี

เซลเพจสำหรับธุรกิจ B2B ต้องเน้นข้อมูลที่ชัดเจนและสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยมี 7 องค์ประกอบสำคัญดังนี้:

  • วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย: เข้าใจความต้องการ งบประมาณ และพฤติกรรมลูกค้า
  • การนำเสนอคุณค่า (Value Statement): ชี้ให้เห็นว่าสินค้าหรือบริการช่วยแก้ปัญหาอะไร พร้อมใช้ตัวเลขสนับสนุน
  • ผลลัพธ์และกรณีศึกษา: แสดงตัวเลข ROI และกรณีศึกษาที่พิสูจน์ได้
  • แบบฟอร์มเก็บข้อมูล: ออกแบบให้ใช้งานง่ายและขอข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น
  • ปุ่มและลิงก์ (CTA): วางตำแหน่งชัดเจนและกระตุ้นการตัดสินใจ
  • รายละเอียดบริการ: อธิบายโซลูชันและผลประโยชน์อย่างครบถ้วน
  • ความน่าเชื่อถือ: ใช้การรับรองและผลงานที่ผ่านมาเพื่อสร้างความมั่นใจ

เปรียบเทียบกับเซลเพจทั่วไป:

ปัจจัย เซลเพจ B2B เซลเพจทั่วไป
ระยะเวลาตัดสินใจ หลายเดือน หลายวัน
ผู้ตัดสินใจ หลายฝ่าย หนึ่งถึงสองคน
มูลค่าซื้อขาย สูงกว่า ต่ำกว่า

เซลเพจ B2B เน้น ROI และความน่าเชื่อถือเป็นหลัก ใช้ 7 องค์ประกอบนี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า!

เทคนิคสร้าง Salepage ให้ขายได้มากขึ้น ปิดการขายอัตโนมัติ

1. การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายธุรกิจ

การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนเริ่มสร้างเซลเพจ B2B โดยเฉพาะในตลาดไทยที่มีลักษณะเฉพาะ การสร้างเซลเพจที่ได้ผลต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน

เริ่มต้นด้วยการระบุ เป้าหมายทางการตลาด งบประมาณ อุปสรรคที่ลูกค้าอาจพบ และเป้าหมาย ROI ที่ต้องการ ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Wisesight เพื่อศึกษาพฤติกรรมและแนวโน้มของตลาดในเชิงลึก

การตรวจสอบข้อมูลสำคัญ

ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ควรครอบคลุม:

  • การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในไทย
  • การวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและการประเมินความพึงพอใจของลูกค้า

ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถกำหนดข้อความที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของลูกค้าได้ เมื่อคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด ขั้นตอนต่อไปคือการสื่อสารคุณค่าหลัก (Value Statement) ที่เหมาะสมและน่าสนใจ.

2. การนำเสนอคุณค่า (Value Statement)

หลังจากวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเชิงธุรกิจแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการสื่อสารให้ชัดเจนว่าธุรกิจของคุณสามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรให้กับลูกค้าได้

การเขียน Value Statement ควรแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะสร้างผลลัพธ์อะไรให้กับธุรกิจของลูกค้า.

3 องค์ประกอบสำคัญ

1. ข้อความที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย

  • ระบุประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เช่น ลดค่าใช้จ่ายหรือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ฟังดูเกินจริง

2. ใช้ตัวเลขเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

  • ตัวเลขช่วยทำให้ข้อมูลดูมีน้ำหนัก เช่น การเพิ่มยอดขายเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น.

การปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

  • เข้าใจความต้องการของลูกค้าและใช้ภาษาที่พวกเขาคุ้นเคย รวมถึงนำตัวอย่างจากสถานการณ์จริงมาช่วยอธิบาย
  • ชี้ให้เห็นจุดเด่นที่ทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือประสบการณ์ที่สั่งสมในอุตสาหกรรมของคุณ

3. ผลลัพธ์และกรณีศึกษาความสำเร็จ

หลังจากกำหนด Value Statement แล้ว ขั้นต่อไปคือการพิสูจน์คุณค่าผ่านตัวเลขและกรณีศึกษาที่ชัดเจน การนำเสนอผลลัพธ์ที่วัดได้และกรณีศึกษาที่น่าเชื่อถือถือเป็นหัวใจสำคัญของเซลเพจ B2B เพราะช่วยสร้างความมั่นใจและแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสินค้าหรือบริการของคุณ

นำเสนอผลลัพธ์ที่ชัดเจน

  • ระบุผลลัพธ์ที่วัดได้ เช่น การเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน หรือปรับปรุงประสิทธิภาพ
  • แสดงตัวเลข ROI และ KPI ที่เกี่ยวข้อง
  • ใช้กราฟหรือแผนภูมิเพื่อทำให้ข้อมูลซับซ้อนดูเข้าใจง่ายขึ้น

โครงสร้างกรณีศึกษา

  • ความท้าทาย: อธิบายปัญหาหรืออุปสรรคที่ลูกค้าเผชิญก่อนใช้บริการ
  • วิธีแก้ปัญหา: ระบุขั้นตอนหรือกระบวนการที่ใช้แก้ไขปัญหา
  • ผลลัพธ์: แสดงตัวเลขหรือข้อมูลที่พิสูจน์ความสำเร็จ
  • คำรับรอง: เพิ่มความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ

การสร้างความน่าเชื่อถือ

  • ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้อง
  • เลือกกรณีศึกษาจากลูกค้าที่มีผลลัพธ์โดดเด่นและยินดีแบ่งปันข้อมูล
  • ใช้คำรับรองที่สะท้อนถึงประโยชน์ของสินค้าหรือบริการได้อย่างชัดเจน

ตัวอย่างกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

บริษัท Fama Technologies ใช้ข้อมูลจากการสำรวจลูกค้าเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการสื่อสาร ผลลัพธ์ที่ได้คือ:

  • ยอดขายในไปป์ไลน์เพิ่มขึ้นถึง 400%
  • ไปป์ไลน์รายไตรมาสเติบโตมากกว่า 25% ภายในระยะเวลา 18 เดือน

4. ออกแบบแบบฟอร์มเก็บข้อมูล

หลังจากนำเสนอกรณีศึกษาที่แสดงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างชัดเจน ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบแบบฟอร์มเก็บข้อมูล เพื่อเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้าเป้าหมาย

แบบฟอร์มเก็บข้อมูล ถือเป็นจุดเชื่อมสำคัญระหว่างผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้า B2B กับธุรกิจของคุณ หากฟอร์มมีความยาวหรือซับซ้อนเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้งานล้มเลิกกลางคันได้ ดังนั้น ควรออกแบบให้เก็บข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมมอบประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น

เทคนิคการเพิ่มอัตราการกรอกฟอร์ม

การใช้องค์ประกอบแบบไดนามิก เช่น ปุ่มและสไลเดอร์ สามารถเพิ่มอัตราการแปลงจาก 11% เป็น 46% ได้

"แนวคิดสำคัญคืออย่าให้ดูเหมือนแบบฟอร์ม เพราะคนไม่ชอบแบบฟอร์ม" - Marcus Taylor

ลองใช้แนวทางเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ:

  • เก็บข้อมูลเฉพาะที่จำเป็น เพื่อลดภาระของผู้ใช้งาน
  • อธิบายให้ชัดเจนว่าข้อมูลที่ให้มาจะถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร
  • ออกแบบให้ฟอร์มดูแตกต่างจากแบบฟอร์มทั่วไป
  • ใช้ตัวเลือกแบบปุ่มหรือสไลเดอร์แทนการพิมพ์ข้อมูล
  • แบ่งฟอร์มเป็นหลายหน้า พร้อมแถบแสดงความคืบหน้า และเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น อีเมล ในหน้าแรก
  • ปรับคำถามให้แสดงหรือซ่อนตามคำตอบที่ได้รับ

การสร้างแรงจูงใจในการกรอกข้อมูล

กระตุ้นให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลด้วยการเสนอสิ่งตอบแทน เช่น ไวท์เปเปอร์ หรือส่วนลด พร้อมระบุชัดเจนว่าการกรอกข้อมูลแต่ละช่องจะช่วยให้พวกเขาได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

sbb-itb-4ffe5b5

5. ปุ่มและลิงก์ (CTA) สู่การตัดสินใจ

เมื่อออกแบบแบบฟอร์มเก็บข้อมูลเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญคือการวางปุ่มและลิงก์ (CTA) ที่ชัดเจนและนำพาลูกค้า B2B ไปสู่ขั้นตอนถัดไปได้อย่างราบรื่น

การออกแบบที่เข้าใจง่ายและดึงดูดสายตา

  • ใช้ข้อความสั้น กระชับ และเน้นสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ
  • ออกแบบปุ่มให้โดดเด่นและมองเห็นง่ายทันทีที่เข้ามาในหน้า
  • จัดวางปุ่มในจุดที่ผู้เข้าชมสามารถมองเห็นได้ทันทีหลังอ่านข้อความสำคัญ

ตัวอย่างการจัดลำดับปุ่มตาม Sales Funnel

  1. ขั้นรับรู้ปัญหา: ตรวจสอบศักยภาพธุรกิจ
  2. ขั้นหาข้อมูล: ดูกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้อง
  3. ขั้นประเมินทางเลือก: นัดหมายปรึกษาฟรี
  4. ขั้นตัดสินใจ: เริ่มต้นทำงานร่วมกัน

การติดตามผลและปรับปรุง

  • ตรวจสอบอัตราการคลิก (CTR) ของแต่ละปุ่มอย่างต่อเนื่อง
  • ทดลองเปลี่ยนข้อความ รูปแบบ และตำแหน่งของปุ่มเพื่อค้นหาการตั้งค่าที่ช่วยเพิ่ม Conversion ได้ดีที่สุด

"แนวคิดสำคัญคืออย่าให้ดูเหมือนแบบฟอร์ม เพราะคนไม่ชอบแบบฟอร์ม" - Marcus Taylor

6. รายละเอียดบริการและโซลูชัน

เมื่อได้กำหนด CTA ที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการอธิบายบริการและโซลูชันหลักอย่างละเอียด การนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนจะช่วยให้ลูกค้า B2B ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะพวกเขามักมองหาผลลัพธ์ที่จับต้องได้และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจน

การนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและตรงประเด็น

  • รายงานผลแบบเรียลไทม์ ผ่านแดชบอร์ดที่เข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • การประชุมปรับกลยุทธ์ ทุกสองสัปดาห์เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างดำเนินไปตามแผน
  • แคมเปญบริหารผ่านบัญชีลูกค้า โดยข้อมูลทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกค้า
  • สัญญารายเดือน ที่ปรับขนาดงานได้ตามความต้องการโดยไม่มีข้อผูกมัด

ข้อมูลที่นำเสนอเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะเป็นจุดสำคัญในหัวข้อถัดไป

7. ความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ

การสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า B2B ไม่ได้หยุดอยู่แค่การนำเสนอบริการหรือโซลูชันที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงให้เห็นว่าธุรกิจของคุณเป็นพาร์ทเนอร์ที่ไว้วางใจได้อย่างแท้จริง

การรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD Registered)

DBD Registered

เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าด้วยการแสดงสถานะ DBD Registered พร้อม QR Code หรือรหัสยืนยันที่สามารถสแกนเพื่อตรวจสอบสถานะของธุรกิจคุณได้ทันที

การรับรองจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก

โชว์ความเป็นมืออาชีพด้วยการรับรองจาก Meta Agency Partner ซึ่งยืนยันด้วยมูลค่าโฆษณาที่จัดการมากกว่า 150 ล้านบาทต่อปี

การแสดงผลงานที่ผ่านมา

นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ที่เคยร่วมงานด้วย ผลลัพธ์ที่ได้ (เช่น รายได้หรือ ROI) ระยะเวลาที่ร่วมงาน และอุตสาหกรรมที่เคยให้บริการ เพื่อแสดงศักยภาพและประสบการณ์ของธุรกิจคุณ

องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้า B2B ว่าธุรกิจของคุณมีความพร้อมและเชื่อถือได้ในการเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจระยะยาว

การเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างเซลเพจ B2B และทั่วไป

การออกแบบเซลเพจสำหรับธุรกิจ B2B มีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเซลเพจทั่วไป ทั้งในด้านกระบวนการตัดสินใจและการนำเสนอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ

กระบวนการตัดสินใจซื้อ

ปัจจัย เซลเพจ B2B เซลเพจทั่วไป
ระยะเวลาตัดสินใจ หลายเดือน หลายวัน
ผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หลายฝ่าย หนึ่งถึงสองคน
มูลค่าซื้อขาย สูงกว่า ต่ำกว่า
ปัจจัยสำคัญ ROI และประสิทธิภาพ ความพึงพอใจหรืออารมณ์

ลักษณะเด่นที่แตกต่าง

  • การนำเสนอเนื้อหา: สำหรับเซลเพจ B2B มักเน้นข้อมูลที่ให้ความรู้และตอบสนองความต้องการระดับองค์กร เช่น การแสดงผลประโยชน์ในเชิงตัวเลขหรือกรณีศึกษา ตัวอย่างเช่น การเพิ่มกรณีศึกษาในเนื้อหา ช่วยเพิ่มลูกค้าคุณภาพได้ 40% และอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ซื้อจริงเพิ่มขึ้น 20%.
  • ความสัมพันธ์และต้นทุนการตลาด: ธุรกิจ B2B ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว โดยมักลงทุนสูงเพื่อเข้าถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจที่เหมาะสมและมีคุณภาพ.

สรุป

เซลเพจ B2B ที่ออกแบบมาอย่างดีช่วยให้การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและการนำเสนอคุณค่าเป็นเรื่องง่ายขึ้น ช่วยให้สามารถติดตามและประเมิน ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ SME ในไทยที่ต้องการตัดสินใจรวดเร็วและปรับกลยุทธ์ได้อย่างต่อเนื่อง ใช้ 7 องค์ประกอบที่กล่าวถึง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเซลเพจและสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจนจากการลงทุนของคุณ!

FAQs

เซลเพจสำหรับธุรกิจ B2B ควรมีจุดเด่นหรือรายละเอียดที่แตกต่างจากเซลเพจทั่วไปอย่างไร?

เซลเพจสำหรับธุรกิจ B2B มีความแตกต่างจากเซลเพจทั่วไป เนื่องจากต้องตอบสนองความต้องการเฉพาะของกลุ่มลูกค้าองค์กรที่มีการตัดสินใจซื้อซับซ้อนกว่า โดยมีจุดเด่นสำคัญดังนี้:

  • นำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและเน้นคุณค่า: ลูกค้า B2B มักให้ความสำคัญกับ ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  • กระบวนการตัดสินใจที่ยาวนานกว่า: การซื้อในธุรกิจ B2B มักเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจตัดสินใจหลายคน และต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างละเอียด
  • มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว: ลูกค้า B2B มองหาพันธมิตรที่สามารถช่วยพัฒนาธุรกิจได้ในระยะยาว ไม่ใช่เพียงการซื้อขายครั้งเดียว

ดังนั้น การออกแบบเซลเพจ B2B ควรเน้นการให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน ชัดเจน และสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

มีวิธีใดบ้างที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากรอกแบบฟอร์มข้อมูลบนเซลเพจมากขึ้น?

การเพิ่มอัตราการกรอกแบบฟอร์มข้อมูลบนเซลเพจสามารถทำได้ด้วยเทคนิคที่เข้าใจง่ายและเหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้าในกลุ่ม B2B เช่น:

  • ลดความซับซ้อนของแบบฟอร์ม: ขอข้อมูลเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ชื่อ อีเมล และข้อมูลติดต่อพื้นฐาน เพื่อลดความยุ่งยาก
  • ใช้ข้อความกระตุ้นที่ชัดเจน: เพิ่มข้อความที่สร้างแรงจูงใจ เช่น “รับข้อเสนอพิเศษทันที!” หรือ “ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลฟรี”
  • ออกแบบที่ดึงดูดและใช้งานง่าย: ใช้สีและการจัดวางที่เหมาะสมเพื่อให้แบบฟอร์มดูน่าสนใจและใช้งานได้สะดวกในทุกอุปกรณ์

การปรับแต่งแบบฟอร์มให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับข้อมูลสำคัญจากลูกค้า และส่งเสริมให้เกิดการติดต่อเพิ่มเติมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมกรณีศึกษาและผลลัพธ์ที่ชัดเจนจึงสำคัญต่อการสร้างเซลเพจ B2B?

การนำเสนอ กรณีศึกษา และ ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเซลเพจ B2B เพราะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยกรณีศึกษาทำหน้าที่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าโซลูชันของคุณสามารถแก้ไขปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้จริง พร้อมแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มยอดขายหรือการลดต้นทุน

การแสดง ผลลัพธ์ที่วัดผลได้ เช่น อัตราการเติบโตเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือจำนวนเงินที่ช่วยประหยัด ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณค่าและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นและเชื่อมั่นในบริการของคุณมากขึ้น

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ